ส.ก.แนะ กทม.ประจานอาคารเสี่ยงไฟไหม้ ไม่ยอมติดสปริงเกอร์เพื่อความปลอดภัยของประชาชน พร้อมให้ สนย.สปภ.ตรวจสอบระบบดับไฟอาคารสูงต่างๆ ปีละครั้ง ขณะที่สภา กทม.เห็นชอบตั้งคณะกรรมการวิสามัญฯตรวจสอบมาตรการความปลอดภัยในอาคารสูในเมืองกรุง
วันนี้ (8 มี.ค.) ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร (สภา กทม.)นายกิตพล เชิดชูกิจกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตประเวศ และ นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ก.เขตห้วยขวาง ได้เสนอวาระร่วมกัน เรื่องขอให้สภากรุงเทพมหานครตั้งคณะกรรมการวิสามัญศึกษา ติดตามตรวจสอบมาตรการควบคุมความปลอดภัยในอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคนและโรงมหรสพในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษอาคารที่ก่อสร้างก่อนและหลังพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2550 บังคับใช้ ซึ่งอาคารที่ก่อสร้างก่อนมีกฎหมายบังคับใช้ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารที่มีระบบป้องกันรักษาความปลอดภัย
ในอาคารที่ไม่ดีพอ เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้นกับอาคารดังกล่าวก็จะสร้างความสูญเสียต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมหาศาล รวมถึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเมือง ดังนั้น เพื่อให้อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน และโรงมหรสพในกรุงเทพมหานคร มีระบบป้องกันรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ สร้างความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร
ด้านนายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ส.ก.เขตบางรัก กล่าวว่า กทม.ควรประสานขอความร่วมมือกับเจ้าของอาคารสูงต่างๆ เพื่อวางแนวทางควบคุมและป้องกันอาคารเสี่ยงเพลิงไหม้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขและติดตั้งระบบสปริงเกอร์แล้ว กทม.จะประกาศให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อให้เกิดความมั่นใจ แต่หากเจ้าของอาคารไม่ยอมให้ความร่วมมือ กทม.ต้องประกาศให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ว่าอาคารดังกล่าวไม่มีความปลอดภัย เพราะไม่มีระบบป้องกันอัคคีภัย สุดท้ายก็จะไม่มีคนมาเช่าพื้นที่อาคาร ซึ่งเชื่อว่าหากใช้มาตรการนี้จะทำให้ภาคเอกชนให้ความร่วมมือมากขึ้น
นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ขอเสนอให้สำนักการโยธา (สนย.) ร่วมกับสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) ออกตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัยของอาคารเสี่ยงต่างๆ ว่า สามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะเชื่อว่าอาคารหลายแห่งโดยเฉพาะไม่มีการตรวจสอบการใช้งานอย่างจริงจัง การแก้ไขข้อบัญญัติ กทม.เพื่อควบคุมอาคารเก่าที่สร้างก่อน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2535 อาจต้องใช้ระยะเวลานาน ทำให้ล่าช้าไม่ทันการณ์ และหากมีกฎหมายบังคับใช้แล้วต้องระมัดระวังไม่เปิดช่องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐแสวงหาประโยชน์ และต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อย่าให้เป็นเพียงไฟไหม้ฟาง ไม่เช่นนั้น อาจเกิดกรณีซานติก้าผับ ที่ กทม.ต้องจ่ายชดเชยแก่ผู้เสียหาย
ขณะที่ นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า จากปัญหาเพลิงไหม้อาคารใหญ่ที่ผ่านมา และกฎกระทรวงที่ออกมาควบคุมอาคาร และจำนวนป้ายที่มีมากมาย ทำให้สัดส่วนของเจ้าหน้าที่ในการเข้าตรวจสอบอาคารนั้นทำงานไม่ทัน ซึ่งเราจะต้องบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสำนักการโยธาจะมีการประชุมแนวดิ่ง มีการเข้มงวด เสนอให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม นับเป็นเรื่องที่ดีที่ สภากทม.จะได้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญฯเข้ามาช่วยฝ่ายบริหาร กทม.ดำเนินการซึ่งฝ่ายบริหารจะได้นำข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ไปบริหารจัดการแก้ไขต่อไป
วันนี้ (8 มี.ค.) ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร (สภา กทม.)นายกิตพล เชิดชูกิจกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตประเวศ และ นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ก.เขตห้วยขวาง ได้เสนอวาระร่วมกัน เรื่องขอให้สภากรุงเทพมหานครตั้งคณะกรรมการวิสามัญศึกษา ติดตามตรวจสอบมาตรการควบคุมความปลอดภัยในอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคนและโรงมหรสพในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษอาคารที่ก่อสร้างก่อนและหลังพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2550 บังคับใช้ ซึ่งอาคารที่ก่อสร้างก่อนมีกฎหมายบังคับใช้ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารที่มีระบบป้องกันรักษาความปลอดภัย
ในอาคารที่ไม่ดีพอ เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้นกับอาคารดังกล่าวก็จะสร้างความสูญเสียต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมหาศาล รวมถึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเมือง ดังนั้น เพื่อให้อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน และโรงมหรสพในกรุงเทพมหานคร มีระบบป้องกันรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ สร้างความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร
ด้านนายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ส.ก.เขตบางรัก กล่าวว่า กทม.ควรประสานขอความร่วมมือกับเจ้าของอาคารสูงต่างๆ เพื่อวางแนวทางควบคุมและป้องกันอาคารเสี่ยงเพลิงไหม้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขและติดตั้งระบบสปริงเกอร์แล้ว กทม.จะประกาศให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อให้เกิดความมั่นใจ แต่หากเจ้าของอาคารไม่ยอมให้ความร่วมมือ กทม.ต้องประกาศให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ว่าอาคารดังกล่าวไม่มีความปลอดภัย เพราะไม่มีระบบป้องกันอัคคีภัย สุดท้ายก็จะไม่มีคนมาเช่าพื้นที่อาคาร ซึ่งเชื่อว่าหากใช้มาตรการนี้จะทำให้ภาคเอกชนให้ความร่วมมือมากขึ้น
นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ขอเสนอให้สำนักการโยธา (สนย.) ร่วมกับสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) ออกตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัยของอาคารเสี่ยงต่างๆ ว่า สามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะเชื่อว่าอาคารหลายแห่งโดยเฉพาะไม่มีการตรวจสอบการใช้งานอย่างจริงจัง การแก้ไขข้อบัญญัติ กทม.เพื่อควบคุมอาคารเก่าที่สร้างก่อน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2535 อาจต้องใช้ระยะเวลานาน ทำให้ล่าช้าไม่ทันการณ์ และหากมีกฎหมายบังคับใช้แล้วต้องระมัดระวังไม่เปิดช่องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐแสวงหาประโยชน์ และต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อย่าให้เป็นเพียงไฟไหม้ฟาง ไม่เช่นนั้น อาจเกิดกรณีซานติก้าผับ ที่ กทม.ต้องจ่ายชดเชยแก่ผู้เสียหาย
ขณะที่ นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า จากปัญหาเพลิงไหม้อาคารใหญ่ที่ผ่านมา และกฎกระทรวงที่ออกมาควบคุมอาคาร และจำนวนป้ายที่มีมากมาย ทำให้สัดส่วนของเจ้าหน้าที่ในการเข้าตรวจสอบอาคารนั้นทำงานไม่ทัน ซึ่งเราจะต้องบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสำนักการโยธาจะมีการประชุมแนวดิ่ง มีการเข้มงวด เสนอให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม นับเป็นเรื่องที่ดีที่ สภากทม.จะได้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญฯเข้ามาช่วยฝ่ายบริหาร กทม.ดำเนินการซึ่งฝ่ายบริหารจะได้นำข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ไปบริหารจัดการแก้ไขต่อไป