ผอ.เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน เผยผลสำรวจระดับโลกย้ำไทยอ่อนอังกฤษ ชี้ภาวะตื่นตัวเพื่อเข้าสู่อาเซียนของไทยน่าเป็นห่วง แนะทุกฝ่ายร่วมมือเดินหน้าพัฒนา
รศ.ดร.นันทนา คชเสนี ผู้อำนวยการบริหารเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (เอยูเอ็น) เปิดเผยว่า การเตรียมพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง แม้หลายหน่วยงานมีความตื่นตัวแต่ยังไม่มีการรวมตัวกันเพื่อเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม โดยเฉพาะในวงการศึกษาไทยตนมองว่าขณะนี้มีเวลาไม่มากแล้วสำหรับการปรับเปลี่ยนเพื่อพัฒนาการศึกษาที่มีคุณภาพสู่ระดับสากล
สิ่งสำคัญ คือ การมีนโยบายระยะยาวที่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เช่น นโยบายการพัฒนาคุณภาพบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ หรือ TQF ซึ่งจะทำให้ได้บัณฑิตที่พึงประสงค์เหมาะกับตลาดอาเซียน และนโยบายการเพิ่มงบประมาณงานวิจัยให้ได้ร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพื่อเป้าหมายการพัฒนาระยะยาว ขณะเดียวกัน ในส่วนของสถาบันการศึกษาควรมีการจัดกลุ่มเพื่อค้นหาศักยภาพและเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยทุกแห่งลุกขึ้นมาร่วมกันหาจุดเด่นและจุดแข็งของตัวเองเพื่อสร้างความเป็นเลิศทางการศึกษาเฉพาะทางนำสู่สายตาประชาคมอาเซียน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจอย่างเป็นทางการจากหลายหน่วยงานระดับโลกที่เผยแพร่ในปัจจุบัน นำมาใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการพัฒนาและแก้ไขข้อบกพร่องได้ เช่น ผลสำรวจล่าสุดในปี 2012 ของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เกี่ยวกับทักษะแรงงานอาเซียนที่นายจ้างจาก 200 บริษัทในประเทศอาเซียนให้ข้อมูล พบว่า แรงงานไทยมีความโดดเด่นในเรื่องทัศนคติในการทำงานเมื่อเปรียบเทียบกับแรงงานมาเลเซีย ขณะที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษเป็นจุดด้อยมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับแรงงานอินโดนีเซีย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผลสำรวจด้านทักษะภาษาอังกฤษจาก 44 ประเทศทั่วโลก จัดทำโดยโรงเรียนสอนภาษาระดับโลก เอดูเคชันเฟิสต์ หรือ อีเอฟ (EF) พบว่า ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 42 รองจากกัมพูชาที่อยู่ลำดับที่ 41 เวียดนาม ลำดับที่ 39 และอินโดนีเซีย ลำดับที่ 34 ขณะที่มาเลเซีย อยู่ในลำดับที่ 9 อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายผลสำรวจที่ช่วยสะท้อนสภาพความเป็นจริงซึ่งทุกฝ่ายต่างทราบกันดีอยู่แล้ว
สิ่งที่เห็นเวลานี้ คือ หน่วยงานต่างๆ ยังมัวแต่ทำการวิจัยหรือสำรวจการเตรียมความพร้อมแบบต่างคนต่างทำ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าไม่จำเป็นแล้ว เพราะเราไม่มีเวลาแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมีการจัดทำการสำรวจหรือวิจัยเพื่อเตรียมความพร้อมหรือหาจุดด้อยต่างๆ อีกต่อไป แต่ควรหันมาจับมือกันและก้าวไปสู่การพัฒนาที่เห็นเป็นรูปธรรม” รศ.ดร.นันทนากล่าว