ผู้ตรวจการฯ เผยผลวิจัยนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ไม่ฟรี และไม่ดีจริง ด้อยคุณภาพ แถมขัดรัฐธรรมนูญ “ศรีราชา” ชี้คุณภาพการศึกษาไทยแย่กว่า 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่คุณภาพนักเรียนด้อยลงในทุกวิชาเรียน แนะทางแก้ รื้อระบบ-จัดหลักสูตรใหม่-ปล่อยโรงเรียนจัดการศึกษาตามกลไกตลาด-แก้ รธน.ให้เหลือจัดเรียนฟรีไม่น้อยกว่า 9 ปี ด้าน ปธ.ชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ ยื่นหนังสือร้องผู้ตรวจสอบ รมว.ศธ.กรณีมีนโยบายบริจาคเงินแทนแปะเจี๊ยะ
วันนี้ (16 ก.พ.) นายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงภายหลังการประชุมอภิปรายในผลการวิจัยเรื่อง “นโยบายเรียนดีเรียนฟรี 15 อย่างมีคุณภาพ” ที่ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้มอบหมายให้ น.ต.หญิง ดร.กิตติยา เอ็ฟฟานส นักวิชาการอิสระ เป็นผู้ดำเนินการวิจัย โดยระบุว่า การวิจัยใช้วิธีการผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งพบว่านโยบายดังกล่าว “ไม่ฟรีจริง เรียนไม่ดี และด้อยคุณภาพ”
โดยกระทรวงศึกษาได้ใช้ค่าใช้จ่ายต่อหัวของ โรงเรียนขนาดกลางมาจ่ายให้แก่โรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่พิเศษ ซึ่งไม่ตรงกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ผู้ปกครองมีความเข้าใจว่าเรียนฟรี หมายถึงฟรีทุกรายการ ในขณะที่รัฐบาลนิยามการเรียนฟรีเพียง 5 รายการ คือ ชุดเครื่องแบบนักเรียน หนังสือเรียนแปดกลุ่มสาระ อุปกรณ์การเรียน กิจกรรมการพัฒนาผู้เรียน และเงินค่าเล่าเรียน ผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายแฝงอื่นที่โรงเรียนเรียกเก็บเพิ่ม เช่น ค่าแอร์ ค่าเรียนเสริมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทั้งฝ่ายครูและผู้ปกครองเห็นว่านโยบายนี้ไม่ทำให้เด็กเรียนดีขึ้น และไม่ได้ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองจริงเพราะยังต้องจ่ายเพิ่มตามรายการที่โรงเรียนขอรับการสนับสนุนอีก
ส่วนผลการประเมินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ. ) พบว่า คะแนนวิชาหลักของนักเรียนทั้งสามช่วงชั้นมีแนวโน้มลดลงอย่างเป็นระบบ อีกทั้งคะแนนของนักเรียนทั้ง 3 ช่วงชั้นและทุกวิชามีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าครึ่ง และจากการประเมินรอบสองของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพผู้เรียนในภาพรวมมีแนวโน้มลดลง คะแนนจากโครงการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติ (พีไอโอสเอ) พบว่า ช่วง 3 ปีก่อนประกาศนโยบายเรียนฟรี 15 ปี คะแนนของทั้ง 3 วิชามีแนวโน้มลดลง และเริ่มกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยในการทดสอบครั้งสุดท้าย ขณะที่ผลการจัดอันดับด้านการศึกษาจากสถาบันไอเอ็มดี พบว่าคุณภาพผู้เรียนไม่ดีขึ้น มีแนวโน้มลดต่ำลงหลังจากที่ใช้นโยบายนี้ มีเพียงผลการประเมินจากกระทรวงศึกษาธิการของไทยเท่านั้นที่ชี้ว่าผู้เรียนมีคุณภาพที่ดีขึ้น 7 ใน 8 กลุ่มสาระวิชา งบประมาณที่ช่วยเรื่องอุปกรณ์การเรียนเครื่องแบบและหนังสือเรียนไม่ได้ทำให้เรียนดีขึ้น
นายศรีราชากล่าวว่า จากผลการวิจัยดังกล่าวได้สะท้อนว่าหลังการปฏิรูปการศึกษาที่มีการใช้ระบบทดสอบทางการศึกษาแล้วพบว่าการศึกษาไทยแย่ลงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการของกระทรวงศึกษาธิการที่มุ่งจัดการศึกษาเรียนฟรีให้กับคนที่ไม่ต้องการ ขณะเดียวกันก็ไม่ไปเติมเต็มให้กับคนที่ยากจนหรือต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้นจึงเห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรจะทบทวนระบบการศึกษาทั้งระบบ ก่อนที่ระบบดังกล่าวจะนำเด็กไปสู่ความล้มเหลวในการเรียนและนำประเทศไปสู่วิกฤต
โดยเห็นว่าแนวทางการแก้ไจปัญหาควรมีการปล่อยให้โรงเรียนจัดการศึกษาเป็นไปตามกลไกของตลาดโดยโรงเรียนใดมีความสามารถในการจัดการศึกษาก็ปล่อยให้ดำเนินการควบคู่ไปกับกระทรวงศึกษาจัดระบบการศึกษาของแต่ละโรงเรียนไม่ให้มีความใกล้เคียงกัน มีการปรับหลักสูตรการเรียนการสอบ โดยเน้นให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์มากกว่ามุ่งเน้นให้เด็กเรียนเพื่อจดจำและนำไปสอบและควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่บัญญัติว่ารัฐต้องจัดการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปีอย่างทั่วถึง มีคุณภาพและไม่เก็บค่าใช้จ่าย เพราะการปฏิบัติจริงในขณะนี้ขัดกับรัฐธรรมนูญ โดยแก้ไขถ้อยคำเป็นรัฐต้องจัดให้มีการเรียนอย่างทั่วถึง ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่น้อยกว่า9 ปี ซึ่งจะเป็นการเปิดกว้างว่าในกรณีที่มีความพร้อมเรื่องงบประมาณ หากมีจำนวนมากก็สามารถจัดได้เกินกว่า 9 ปีขึ้นไป
“คิดว่าถึงเวลาที่สภาการศึกษา และรมว.ศึกษาธิการต้องทบทวนระบบการบริหารและหลักสูตร ที่ให้มีการเรียนมากและน้อยไปในบางเรื่อง ซึ่งการได้พูดคุยส่วนตัวกับ รมว.ศึกษาฯ ก็มีหลายเรื่องที่มีความเห็นตรงกัน เช่น การปรับปรุงหลักสูตร เรื่องการสอบที่จะเป็นมาตรฐาน เรื่องการใช้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเป็นตัวตัดสินในการเลื่อนขั้นเงินเดือนของครู แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยก็เป็นจุดอ่อนที่ทำให้การพัฒนาความต่อเนื่องของระบบการศึกษามีปัญหา เพราะเมื่อเปลี่ยนรมว.ครั้งหนึ่งนโยบายทางการศึกษาจก็จะเปลี่ยนไป” นายศรีราชากล่าว และว่าหลังจากนี้ก็จะมีการเสนอผลงานวิจัยดังกล่าวไปให้ รมว.ศึกษธิการและเผยแพร่ต่อสาธารณชนต่อไป
วันเดียวกัน นายอำนวย สุนทรโชติ ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านนายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการได้มีแนวนโยบายเกี่ยวกับการรับนักเรียนเข้าเรียนในสถานศึกษา โดยจะเปิดห้องรับเด็กฝากโดยเฉพาะ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อจากเงินแป๊ะเจี๊ยะเป็นเงินบริจาค เนื่องจากเห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30 ที่บัญญัติบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งแยกถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา อายุ เพศ ความพิการสภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม รวมทั้งการศึกษาอบรม
โดยหากผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบแล้วพบว่าผิดรัฐธรรมนูญนั้น นโยบายดังกล่าวนี้จะต้องหยุดดำเนินการทันที อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการยังประกาศชัดเจนว่าจะเปลี่ยนที่นั่งเรียนของนักเรียนเป็นเงิน อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ได้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อนางวิสา เบ็ญจะมโน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะประธานอนุกรรมการปฏิบัติการยุทธศาสตร์ด้านเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และความเสมอภาคของบุคคล เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ และในสัปดาห์หน้าตนจะยื่นฟ้องศาลปกครองอีกด้วย