xs
xsm
sm
md
lg

นายจ้างขอเวลา 2-3 ปีค่อยปรับค่าแรง 300 บาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ผู้แทน คกก.ค่าจ้างกลางฝ่ายนายจ้างแนะควรใช้เวลา 2-3 ปีจึงขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ระบุเพื่อให้นายจ้างได้บริหารต้นทุน ขณะที่นักวิชาการทีดีอาร์ไอ-ลูกจ้างประสานเสียงชี้รอบ 10 ปี  แรงงานได้ปรับค่าจ้างไม่พอเลี้ยงครอบครัว หนุนรัฐปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน พร้อมกันทั่วประเทศ ลูกจ้างโวยเอสเอ็มอีถ่วงขึ้นค่าจ้างไม่ยอมควักเนื้อ

วันนี้ (4 ก.ย.) ที่โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ ได้มีงานเสวนาเรื่อง “คิดอย่างไร...กับรายได้ 300 บาทต่อวัน” จัดโดย คณะทำงานการแรงงานและสวัสดิการสังคมร่วมกับคณะทำงานอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีตัวแทนฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างในกรุงเทพฯและปริมณฑลเข้าร่วมประมาณ 1,000 คน

รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ช่วง 10  ปี ที่ผ่านมาพบว่าค่าจ้างขั้นต่ำมีการปรับโดยเฉลี่ย 2.84% ขณะที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น 3.25% และมีช่วงห่างระหว่างรายได้กับค่าครองชีพถึง 60% ทั้งนี้ปัจจุบันค่าจ่างขั้นต่ำอยู่ที่ 159-221 บ.ต่อวัน ซึ่งที่ผ่านมาการปรับค่าจ้างไม่เพียงพอที่จะปกป้องแรงงานให้มีคุณภาพชีวิตให้พ้นจากความยากจนตามหลักขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO)โดยแรงงานหนึ่งคนต้องมีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัว 2-3 คน จึงเห็นว่าควรจะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บ. ไปพร้อมกันทีเดียวทั่วประเทศเนื่องจากการปรับขึ้นค่าจ้างไม่ได้มีการปรับให้สอดคล้องกับค่าครองชีพมานาน 5-6 ปีแล้ว

“ฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างต้องมาหารือร่วมกัน เพื่อวางมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บ. โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ถึง 66% ของธุรกิจทั้งประเทศ โดยหากปรับค่าจ้างเป็นวันละ 300 บ. ผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ ที่มีธุรกิจขนาดใหญ่จะมีต้นทุนเพิ่ม 39-40% ซึ่งสามารถแบกรับต้นทุนได้ แต่จะทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่กระจุกตัวอยู่มากในภาคเหนือและภาคอีสานจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 60-70% เชื่อว่าเอสเอ็มอีจะปรับตัวไม่ทันและไม่สามารแบกรับต้นทุนการผลิตและค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นได้ทำให้ต้องปิดกิจการหรือย้ายฐานการผลิตและจ้างงานแบบเหมาช่วงมากขึ้น จึงขอเสนอทฤษฎี 3 สูงคือแรงงานต้องผลิตชิ้นงานให้สูงกว่าค่าจ้าง ปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้นและเพิ่มค่าจ้างให้แก่แรงงาน” รศ.ดร.ยงยุทธ กล่าว

นางอำมร ชวลิต ที่ปรึกษาวิชาการ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจากการสำรวจของกระทรวงแรงงานพบว่าราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 28.2% เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 2.82% ขณะที่ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25.7% เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 2.57% ซึ่งจะพบว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่ผ่านมาไม่เพียงพอที่จะทำให้แรงานอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงแรงงานกำลังสำรวจค่าครองชีพและความต้องการพัฒนาฝีมือแรงงานของแรงงานในจังหวัดต่างๆ ใช้กลุ่มตัวอย่างจังหวัดละ 200 ตัวอย่าง จะเสนอผลสำรวจต่อคณะกรรมการค่าจ้างกลางในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อใช้พิจารณาประกอบการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ส่วนมาตรการรองรับการปรับขึ้นค่าจ้างวันละ 300 บ. ที่ภาครัฐได้เตรียมการไว้ เช่น การใช้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ดูแลลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง การลดภาษีนิติบุคคลให้แก่สถานประกอบการ การควบคุมราคาสินค้า

นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้หลายฝ่ายเริ่มเป็นห่วงว่านโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท พร้อมกันทั่วประเทศว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ทั้งนี้เรื่องนี้มีคณะกรรมการไตรภาคี ทั้งฝ่ายรัฐ ลูกจ้าง นายจ้างดูแลอยู่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจ่ายของผู้ประกอบการ ตนเชื่อว่านายจ้างกับลูกจ้างไม่ใช่ศัตรูกัน ซึ่งตนเห็นว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บ.ใน 4 ปี เป็นไปได้ โดยสภาอุตฯอยากให้ปรับแบบขั้นบันได ซึ่งภาครัฐต้องมีการชดเชยต้นทุนส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นให้แก่สถานประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีอยู่ 90% ควรมีการหามาตรการช่วยเหลือเป็นรายอุตสาหกรรม  ขณะนี้สภาอุตฯเตรียมการรองรับหากธุรกิจในภาคอุตฯไม่สามารถแบกรับต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นได้เพราะใช้แรงงานแบบเข้มข้นก็จะย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชาค่าจ้างอยู่ที่กว่า 2,000 บาทต่อเดือน จากการสอบถามผู้ว่าฯจังหวัดศรีโสพล พบว่ามีธุรกิจอุตฯของไทยไปติดต่อไว้จำนวนมาก

นายวัลลภ กิ่งชาญศิลป์ ผู้แทนคณะกรรมการค่าจ้างกลางฝ่ายนายจ้าง กล่าวว่า ฝ่ายนายจ้างไม่ได้คัดค้านการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน แต่อยากให้ดำเนินการผ่านระบบไตรภาคี ไม่เห็นด้วยหากตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและลูกจ้างจับมือกันโหวตให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท เพราะฝ่ายนายจ้างต้องมาคำนวณต้นทุนของตัวเองว่าจะรับต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งต้นทุนภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ภาคบริการเพิ่มขึ้น 70-80%  จึงอยากให้ทุกฝ่ายมาหานรือในรายละเอียดก่อนจะปรับขึ้นค่าจ้างเป็น 300 บาท

อยากให้การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ คิดและทำอย่างเป็นกระบวนการเป็นขั้นเป็นตอน มีระยะเวลาดำเนินการ ไม่ใช้ปรับขึ้นทันที ควรใช้ระยะเวลา 2-3 ปีเพื่อให้ผู้ประกอบการได้หายใจบ้าง เพราะเมื่อปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาท จะมีผู้รับอานิสงส์เป็นแรงงานในระบบกว่า 10 ล้านคน แต่แรงงานนอกระบบอีก24 ล้านคน เช่น เกษตรกรจะได้ผลกระทบ เช่น ต้องซื้อสินค้าราคาแพงตามไปด้วย ดังนั้นขอให้รัฐบาลควบคุมราคาสินค้าไม่ให้เตลิดแซงหน้าค่าจ้างส่วนผลกระทบที่ห่วงว่าจะเกิดขึ้นคือการที่แรงงานย้ายกลับถิ่นฐานจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาในส่วนกลางที่ขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว ทำให้ต้องจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้น ซึ่งแรงงานต่างด้าวสามารถตั้งสหภาพได้ตามกฎเกณฑ์ของไอแอลโอ เพื่อเรียกร้องค่าจ้างและสวัสดิการต่างๆ” นายวัลลภ กล่าว

นายชัยพร จันทนา ผู้แทนคณะกรรมการค่าจ้างกลางฝ่ายลูกจ้าง กล่าวว่า คิดว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทำได้และอยากให้ปรับขึ้นทันทีทั่วประเทศ เพราะการปรับค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่สอดรับกับค่าครองชีพที่แท้จริงสะสมมานาน หากไม่ปรับช่วงนี้ โอกาสที่จะปรับอีกเป็นไปได้ยาก เพราะค่าครองชีพตามความเป็นจริงของแรงงานที่ดูแลครอบครัวได้อยู่ที่ 400 บาทต่อวัน และราคาสินค้าได้ปรับขึ้นนำหน้าค่าจ้างไปก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา  ที่ผ่านมาการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่สามารถปรับขึ้นแบบก้าวกระโดดได้ เพราะปัญหาอยู่ที่ธุรกิจเอสเอ็มอีไม่มีโครงสร้างเงินเดือนและค่าจ้างประจำปี จะใช้วิธีโดดปรับตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งธุรกิจเอสเอ็มอีควรยอมควักกำไรออกมา ทุกวันนี้เมื่อสรรพากรไปตรวจก็แจ้งว่าไม่ค่อยมีกำไร แต่ขยายสาขาทุกปี ดังนั้นจึงไม่ควรผลักภาระให้รัฐบาล

“ทุกวันนี้ลูกจ้างทำงานวันละ 8 ชั่วโมงไม่พอ ต้องทำโอทีเพิ่มอีก 4 ชั่วโมง ทำให้ต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมง เพื่อให้มีรายได้เพียงพอเลี้ยงดูครอบครัวไม่เคยมีประเทศไหนที่กดค่าจ้างขั้นต่ำแล้วจะเจริญ อย่าบอกว่าลูกจ้างทำงานไม่คุ้ม เพราะทุกวันนี้พวกผมทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แทบกรดุกกระดิกไปไหนไม่ได้เลย เพราะไม่มีนายจ้างที่ไหนจ้างลูกจ้างมาเดินลอยไปลอยมา ค่าจ้างก็ไม่ค่อยได้ปรับขึ้น อย่างอุตสาหกรรมสิ่งทอ รอแต่อานิสงส์จากรัฐบาล ส่วนภาคอุตสาหกรรมให้เหตุผลไม่เห็นด้วยในการปรับขึ้นค่าจ้าง 300บาท เพราะกลัวบริษัทต่างชาติจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นนั้น เท่าที่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างประเทศญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทย 80% ก็ไม่ได้ไปไหน” นายชัยพรกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น