อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ห่วงระบบอุปถัมภ์ทำลายมาตรฐานครูไทย แนะคุรุสภาอย่าเน้นจัดสอบเฉพาะข้อสอบปรนัยอย่างเดียว ควรเน้นความมุ่งมั่น และมีจิตวิญญาณในความเป็นครู มากกว่าวัดเพียงความรู้
ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคุรุสภาหารือกันเพื่อจัดสอบขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตใบประกอบวิชาชีพครูเร็วขึ้น จากเดิมกำหนดไว้ว่าจะเริ่มในปี 2547 ว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่สอบกันมากมายเหลือเกินและเราก็ไม่เคยรู้เลยว่าข้อสอบที่ใช้สอบในการตัดสินคนนั้นมันได้มาตรฐานแค่ไหน คนตรวจคนออกข้อสอบได้มาตรฐานหรือไม่ ข้อสอบที่ออกนั้นวัดอะไรผู้สอบบ้าง กระบวนการประเมินคนของสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมผู้เรียนครูและต้องจบออกไปเป็นครูนั้น ควรจะวัดถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง มีจิตวิญญาณในความเป็นครู มากกว่าจะวัดเพียงแค่ความรู้ ทุกวันนี้เราชอบพูดถึงมาตรฐาน ในขณะที่สังคมไทยยังเป็นระบบสังคมอุปถัมป์ มาตรฐานของสังคมไทย มันจึงเอื้อต่อระบบอุปถัมป์เช่นกัน ดังนั้นเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ จึงทำได้ไม่เต็มที่เพราะสังคมไทยยังใช้ระบบอุปถัมป์อยู่
“ถ้าเรายังยืนยันว่าต้องสอบเพื่อให้รู้ว่าแต่ละสถาบันการศึกษาที่ทำการเรียนการสอนด้านศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ได้มาตรฐานรือไม่นั้น ผมจึงอยากเสนอว่าควรจะมีสองส่วนที่ผสมผสานกันในการประเมิน นอกจากจะดูในเรื่องของการสอบแล้ว ควรจะดูจากผลการเรียน ผลการทำกิจกรรมในขณะเรียน มีการสอบสัมภาษณ์ นอกจากนี้ ต้องมีการสร้างใบประเมินจากสถาบันนั้นๆ และจากคณะบุคคลต่างๆ ที่ได้คลุกคลีกับผู้เรียน เพื่อจะได้เห็นถึงปฏิบัติการในขณะที่ผู้เรียนได้เรียนและนำไปศึกษา นอกจากนี้ ข้อสอบที่จัดให้ผู้สอบใบอนุญาตต้องทำอย่างประณีต และควรจะเป็นข้อสอบที่มีทั้งปรนัยและอัตนัย ใช้วิธีผสมผสานในการจัดสอบ อย่าคิดเพียงแค่สอบโดยใช้ข้อสอบปรนัยเพียงส่วนเดียว มิฉะนั้น แล้วเราก็จะได้ผู้สอบถามที่ถวกันเหมือนทหารเกณฑ์แล้วมันจะเกิดประโยชน์ขึ้นในสังคมการศึกษาของประเทศไทย ผมอยากถามว่า คุรุสภากล้าพอไหมกับวิธีการที่ผมเสนอ มิฉะนั้นแล้วเราจะได้คนที่สอบผ่านเพื่อรับใบอนุญาต ที่ไปท่องตำรามาสอบ คุรุสภาจะยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นและหันมาวัดคนด้วยการสอบให้รอบด้านมากขึ้น ก่อนจะรับใบอนุญาตจะสามารถทำได้หรือไม่” อธิการ มศว กล่าว
ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคุรุสภาหารือกันเพื่อจัดสอบขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตใบประกอบวิชาชีพครูเร็วขึ้น จากเดิมกำหนดไว้ว่าจะเริ่มในปี 2547 ว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่สอบกันมากมายเหลือเกินและเราก็ไม่เคยรู้เลยว่าข้อสอบที่ใช้สอบในการตัดสินคนนั้นมันได้มาตรฐานแค่ไหน คนตรวจคนออกข้อสอบได้มาตรฐานหรือไม่ ข้อสอบที่ออกนั้นวัดอะไรผู้สอบบ้าง กระบวนการประเมินคนของสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมผู้เรียนครูและต้องจบออกไปเป็นครูนั้น ควรจะวัดถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง มีจิตวิญญาณในความเป็นครู มากกว่าจะวัดเพียงแค่ความรู้ ทุกวันนี้เราชอบพูดถึงมาตรฐาน ในขณะที่สังคมไทยยังเป็นระบบสังคมอุปถัมป์ มาตรฐานของสังคมไทย มันจึงเอื้อต่อระบบอุปถัมป์เช่นกัน ดังนั้นเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ จึงทำได้ไม่เต็มที่เพราะสังคมไทยยังใช้ระบบอุปถัมป์อยู่
“ถ้าเรายังยืนยันว่าต้องสอบเพื่อให้รู้ว่าแต่ละสถาบันการศึกษาที่ทำการเรียนการสอนด้านศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ได้มาตรฐานรือไม่นั้น ผมจึงอยากเสนอว่าควรจะมีสองส่วนที่ผสมผสานกันในการประเมิน นอกจากจะดูในเรื่องของการสอบแล้ว ควรจะดูจากผลการเรียน ผลการทำกิจกรรมในขณะเรียน มีการสอบสัมภาษณ์ นอกจากนี้ ต้องมีการสร้างใบประเมินจากสถาบันนั้นๆ และจากคณะบุคคลต่างๆ ที่ได้คลุกคลีกับผู้เรียน เพื่อจะได้เห็นถึงปฏิบัติการในขณะที่ผู้เรียนได้เรียนและนำไปศึกษา นอกจากนี้ ข้อสอบที่จัดให้ผู้สอบใบอนุญาตต้องทำอย่างประณีต และควรจะเป็นข้อสอบที่มีทั้งปรนัยและอัตนัย ใช้วิธีผสมผสานในการจัดสอบ อย่าคิดเพียงแค่สอบโดยใช้ข้อสอบปรนัยเพียงส่วนเดียว มิฉะนั้น แล้วเราก็จะได้ผู้สอบถามที่ถวกันเหมือนทหารเกณฑ์แล้วมันจะเกิดประโยชน์ขึ้นในสังคมการศึกษาของประเทศไทย ผมอยากถามว่า คุรุสภากล้าพอไหมกับวิธีการที่ผมเสนอ มิฉะนั้นแล้วเราจะได้คนที่สอบผ่านเพื่อรับใบอนุญาต ที่ไปท่องตำรามาสอบ คุรุสภาจะยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นและหันมาวัดคนด้วยการสอบให้รอบด้านมากขึ้น ก่อนจะรับใบอนุญาตจะสามารถทำได้หรือไม่” อธิการ มศว กล่าว
