xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“วรวีร์”ชื่อนี้มีแต่“ฉาว” ถึงคราวสละบัลลังก์?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“บังยี” บอร์ดฟีฟา
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-อุณหภูมิวงการลูกหนังไทยร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตกเป็นประเด็นข่าวใหญ่แอบงุบงิบเอาลิขสิทธิ์การตลาดที่คนไทย โดยเฉพาะ "คอบอล" ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ไปแอบขายให้บริษัทเกาหลีใต้เมื่อ 5 ปีก่อนจนเรื่องแดงต้องขึ้นโรงขึ้นศาลคดีอาญาข้อหาฉ้อโกง ถือว่ามรสุมครั้งนี้หนักหนาสาหัสที่สุดกว่าที่ผ่านๆ มา ซึ่งเจ้าตัวใช้ความลื่นชนิดปลาไหลเรียกพ่อแถจนเอาตัวรอดมาได้ ทว่า กรณีนี้ถือเป็นการเสื่อมชื่อเสียงของประเทศอย่างแท้จริงที่เอาสมาคมภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ไปแสวงหาผลประโยชน์

1. ทันทีที่ข่าวเริ่มปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า บริษัท แดอัน 21 จำกัด ประเทศเกาหลีใต้ เตรียมยื่นฟ้อง วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์คนที่ 15 ที่ศาลแขวงพระนครเหนืออีก 3 วันหลังจากนี้คดีอาญาความผิดฐานฉ้อโกง หลังชักชวนให้มาลงทุนทำธุรกิจการตลาดกีฬา โดยจะมอบลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดและดูแลผลประโยชน์ทั้งหมดของสมาคมฯ แต่สุดท้ายทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นและเป็นไปตามที่ได้สัญญากันไว้

โดยเบื้องต้นที่ตกลงกันไว้ในสัญญา บริษัท แดอัน 21 จำกัด จะต้องจ่ายเงิน 2,400,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 76.8 ล้านบาท) ต่อปี ให้กับสมาคมฟุตบอลฯ แบ่งจ่ายเป็น 4 งวดๆ ละ 600,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19.2 ล้านบาท) งวดแรกได้มีการจ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2550 หลังทำสัญญาวันที่ 1 เม.ย. 2550 ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่มีความคืบหน้าจากทาง วรวีร์ เกี่ยวกับเอกสารส่งมอบสิทธิ์รวมถึงจัดตั้งแผนกการตลาดตามที่ได้ตกลงกันไว้อย่างดิบดี

เมื่อถูกทวงถามถึงสัญญากับถูกวรวีร์ข่มขู่ว่าถ้าไม่จ่ายเงินงวดที่ 2 จะยกเลิกสัญญา โดย บริษัท แดอัน 21 จำกัด เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงจ่ายเงินงวดที่ 2 เพียงครึ่งเดียวคือ 300,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9.6 ล้านบาท) เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2550 จากนั้นก็เข้าอีหรอบเดิมไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น จึงตัดสินใจฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ปัจจุบันบริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น แดอัน ย็อนอัพ จำกัด และมอบหมายให้นายชอย ดอง อุล เป็นตัวแทนรับมอบสิทธิ์จากบริษัท พร้อมด้วย ศุภชัย ช่วยเวช ทนายชาวไทยและทีมงาน ให้ดูแลเรื่องนี้

ย้อนไประหว่างนั้นก่อนจะถึงวันที่ 27 สิงหาคมที่จะมีการยื่นคำฟ้องคดีอาญาต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ยังไม่มีใครปักใจเชื่อเพราะเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นชนิดที่ไม่มีเมฆฝนตั้งเค้าครึ้มมาแต่ไกลเพื่อส่งสัญญาณให้ใครเตรียมรับมือได้ทัน โดยเฉพาะสื่อหลายฉบับไม่กล้าที่จะประโคมข่าวเรื่องนี้มีเพียงการพูดกันปากต่อปากและนำข่าวไปวิจารณ์ผ่านทางสถานีวิทยุเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะต้องการฟังข้อเท็จจริงจากปากของ วรวีร์ รวมถึงดูหลักฐานที่ทนาย ศุภชัย จะนำไปโชว์ให้สื่อมวลชนที่ศาล

เมื่อถึงวันนั้นทนาย ศุภชัย ยื่นคำฟ้องต่อศาลคดีอาญาข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โดยมีสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นจำเลยที่ 1 และนายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขที่ 1217/2555 โดยจะทำการเรียกสอบพยานวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา 09.00 น.โดยมีพยาน 3 ปาก คือ นายคุง จัง ปาร์ค กรรมการ บริษัท แดอัน 21 จำกัด ผู้ที่ทำสัญญา นายชอย ดอง อุล ผู้รับมอบหมายและเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาอโศก-ดินแดง ในฐานะเจ้าของบัญชีที่มีการโอนเงิน เข้าชี้แจง

2. ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ วรวีร์ ส่ง วีระ คำมี ฝ่ายกฎหมายของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ยืนยันว่ามีการทำสัญญาจริง แต่ถ้าเกิดข้อพิพาทภายใต้สัญญาลักษณะนี้จะต้องไปฟ้องที่ศาลอนุญาโตตุลาการ (Court of Arbitration for Sport ) ของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ที่สำคัญอายุสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม 2554 ที่ผ่านมา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าพร้อมเปิดหน้าแลกและเตรียมหลักฐานโต้กลับเอาไว้แล้วเช่นกัน รวมถึงประวิงเวลาที่จะไปต่อสู้กับศาลโลกโดยมีแบ็คอัพเป็นองค์กรลูกหนังใหญ่ที่สุดในโลกคอยหนุนหลัง

วรวีร์ ยืนยันความบริสุทธิ์ว่า "เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าไม่ชอบมาพากล เพราะได้ยินมาว่ามีการโทร.แจ้งสื่อจึงมองว่าอาจจะพยายามดิสเครดิตมุ่งสร้างข่าวเพื่อที่จะทำลายชื่อเสียง จากนี้ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายกฎหมายที่จะตรวจสอบเรื่องรายละเอียดและเตรียมดำเนินการฟ้องกลับต่อไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้ล่วงเลยมานานถึง 5 ปีแล้ว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมปล่อยให้คาราคาซังนานขนาดนี้ เพราะหากตนเป็นผู้เสียหายจริงก็คงไม่ปล่อยให้ผ่านมานานนมแบบนี้ รวมถึงจะปกป้องชื่อเสียงและผลงานที่ผ่านมาของตนเองอย่างเต็มที่"

พร้อมกันนี้ วรวีร์ ยังยอมรับว่าฟุตบอลทีมชาติไทยตกต่ำลงจริงช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะไม่ได้ไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 และ 2014 ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่ยืนยันว่ามีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันและสามารถจับต้องได้ก็คือการเป็นแชมป์ฟุตบอลชาย ซีเกมส์ 8 สมัยติดต่อกัน แม้ว่าจะตกรอบแรก 2 หนหลังสุดที่ ลาว และ อินโดนีเซีย ก็ตาม รวมถึงกรณีที่ดินหนองจอกซึ่งได้บริจาคให้กับสมาคมฯสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอล แต่ก็ถูกกล่าวหาว่านำเงิน ฟีฟ่า มาใช้

เมื่อถูกถามว่าท้อไหมกับมรสุมครั้งใหม่ที่รุมเร้า นายกยี เผยว่า "ถามว่าท้อไหม ก็ไม่มากนัก เพราะช่วงที่ผ่านมา ผมก็มีผลงานที่จับต้องได้ จัดว่าดีไม่มีใครทำได้อย่างแชมป์ ซีเกมส์ 8 สมัยซ้อน แต่ 2 ปีหลังมานี้ ก็ต้องยอมรับว่าทีมชาติเราตกลงไปจริงๆ อยากขอเวลาพิสูจน์ตัวเองอีกสักระยะ ซึ่งผมก็เป็นคนมีน้ำใจนักกีฬามากพอ และยินดีที่จะถอยออกมาเมื่อถึงตอนนั้น แต่ไม่เข้าใจทำไมจะต้องมาทำลายชื่อเสียงกันด้วย แม้ว่าผลงานจะดีหรือน่าผิดหวังแต่ก็พยายามปรับปรุงและทำให้ดีขึ้นด้วยการทุ่มเงินจ้างโค้ชระดับโลก แต่จะให้ทุกอย่างดีชั่วพริบตาได้อย่างไรต้องใช้เวลา สุดท้ายความจริงเป็นสิ่งไม่ตายสักวันจะต้องปรากฏ ใครกลั่นแกล้งใครก็จะต้องมีคนรู้และบทลงโทษก็จะตามมาเอง"

3. หลักฐานเด็ดที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนทำเอา วรวีร์ มะกูดี ดิ้นไม่หลุดก็คือลายเซ็นของตนเองกำกับอยู่ใต้คำว่า สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ระบุตำแหน่งประธานอย่างชัดเจน จึงเกิดเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเร่อว่าช่วงที่มีการทำสัญญากับบริษัทเกาหลีมีสื่อมวลชนไทยฉบับใดเสนอข่าวหรือไม่ ซึ่งน่าจะเกิดหลังจาก "บังยี" เข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมฯ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2550 หลังได้รับการเสนอชื่อเข้าวินแบบไร้คู่แข่งเพียงแค่ไม่ถึง 10 วันทันทีที่ วิจิตร เกตุแก้ว ประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2550 ก็น่าจะเป็นหนึ่งในแผนงานที่เตรียมให้เข้ามาดูแลเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ แต่ทีมงานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก "เหมือนเหล้าเก่า ในขวดใหม่" ที่ล้วนมีแต่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งสิ้น

แต่ทำไมจะต้องเป็นบริษัทจากประเทศเกาหลีใต้ทั้งที่เป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ทำไมไม่ให้คนไทยจัดการและบริษัทดังกล่าวติดต่อหรือมีใครเป็นผู้ชักชวนเข้ามาโดยที่ไม่มีการประมูลสู่สายตาสาธารณชนอย่างโปร่งใส หรือเพราะต้องการที่จะไปแอบทำเพื่อเป็นคู่ค้าสัญญาและแบ่งผลประโยชน์กันเองในฉากหลังหรือไม่ และถ้ามีการโอนเงินจำนวนเกือบ 29 ล้านบาทมาจริงๆ ตอนนี้อยู่ที่ไหน ถ้าเข้าบัญชีของสมาคมฯก็จะต้องสามารถตรวจสอบได้อย่างไม่มีปัญหา สุดท้ายอาจจะตกลงกันไม่ได้แบ่งเค้กไม่ลงตัวสุดท้ายมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำไม่ได้ตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งยังเป็นคำถามที่แฟนบอลไทยทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้คำตอบ

รวมถึงทำไม บริษัท แดอัน 21 จำกัด ถึงปล่อยให้เรื่องล่วงเลยมานานถึง 4-5 ปีและข้อเรียกร้องที่ต้องการคือประนีประนอมต้องการเงินลงทุนคืนทั้งหมดรวมถึงไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด โดยอ้างว่าตอนนี้ก็กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางด้านการเงินเป็นหนี้ธนาคาร เพราะกู้เงินมาลงทุนตรงเรื่องนี้ที่กินเวลาเยอะเกินไปหรือไม่ พร้อมเตือน วรวีร์ ว่าอย่าพยายามฟ้องกลับ เนื่องจากมั่นใจหลักฐานที่มีอยู่ในมือค่อนข้างมัดตัวแน่นและไม่อยากให้เรื่องลุกลามบานปลายเนื่องจากสมาคมฟุตบอลฯ ก็ถือเป็นองค์กรเบื้องสูงเชิดหน้าชูตาระดับประเทศของไทยที่จะต้องมาแปดเปื้อน เชื่อว่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามีการคืนเงินจริงชายที่ชื่อ "บังยี" จะสามารถนั่งอยู่บนเก้าอี้ประมุขลูกหนังของประเทศต่อไปได้อีกหรือไม่และกล้าพอไหมที่จะแสดงความรับผิดชอบ

4.คดีเก่าภายใต้ยุคเรืองอำนาจของ วรวีร์ ถือว่ายาวเป็นหางว่าวแต่ที่หนักหนาสุดเห็นจะหนีไม่พ้นการล้มเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 โดยให้เหตุผลว่าที่ต้องทำเช่นนี้เนื่องจากปัญหาใบมอบฉันทะซ้ำซ้อน ดังนั้นจึงมีมติให้เลื่อนการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ ออกไปก่อน เพราะส่วนหนึ่งอาจไม่มั่นใจเสียงสนับสนุนแถมมีคู่แข่งอย่าง พิเชฐ มั่นคง อดีตประธานสโมสรการท่าเรือไทย เอฟซี และ วิรัช ชาญพานิชย์ แต่สุดท้ายก็ซื้อเวลาสำเร็จได้นั่งเก้าอี้ประมุขลูกหนังไทยเป็นสมัยที่ 3 ในการเลือกตั้งถัดมาในเดือนมิถุนายน

แต่ที่ฉาวระดับโลกทำคนไทยงามหน้าก็คือถูก ลอร์ด ทรีสแมน อดีตประธานสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) กล่าวหาว่าเสนอขายเสียงการเลือกตั้งเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 เพื่อแลกกับค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เกมกระชับมิตรที่ อังกฤษ จะบินมาอุ่นเครื่องที่ไทย แต่ผิดแผนเมื่อ รัสเซีย ได้โหวตให้เป็นเจ้าภาพ เวิลด์ คัพ ต่อจาก บราซิล ปี 2014 งานนี้ "มาเฟียยี" โต้ว่าได้เชิญทีมชาติอังกฤษมาแข่งขันกับทีมชาติไทยจริง มีการออกหนังสืออย่างเป็นทางการ แต่ไม่เคยเจรจาเรื่องลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด เพราะหากมีการถ่ายทอดสดจริง ก็ต้องดำเนินการตามระเบียบของฟีฟ่าซึ่งกำหนดไว้อยู่แล้ว ลิขสิทธิ์ของฟีฟ่าผมไม่มีอำนาจตัดสินใจได้เพียงผู้เดียว

เมื่อประมวลเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ต้องย้อนกลับมามองดูฟุตบอลไทย โดยเฉพาะความฝันลมๆ แล้งๆ ที่ว่า "จะไปบอลโลก" ถึงจุดนี้ทุกคนน่าจะเริ่มตาสว่างแล้วและหันกลับมามองว่าถ้าไม่รื้อระบบการจัดการทุกอย่างใหม่ทั้งหมดตั้งแต่รากเหง้าคงจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริง สิ่งที่ดำเนินมาภายใต้ยุคบริหารของ วรวีร์ ทุกคนมองว่าหมดเวลาและเกินที่จะเยียวยาแล้ว แต่เครือข่ายและระบบการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ ที่เอื้อผลประโยชน์ต่อพวกเดียวกันเองซึ่งไม่ได้เกิดแค่วงการกีฬาเท่านั้นไม่ว่าจะกี่รอบทุกอย่างก็จะวนกลับมาจุดเดิมอยู่ดี

***ล้อมกรอบ***

วรวีร์ มะกูดี

เกิด 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 อายุ 60 ปี ศาสนา อิสลาม

การศึกษา - ได้รับทุนจากรัฐบาลคูเวตศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติคูเวตจนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี

เส้นทางลูกหนัง -เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์และติดทีมโรงเรียน ได้รับเลือกให้เป็นนักเตะสมาชิกของสโมสรมุสลิมตั้งแต่ชุดเยาวชนจนถึงชุดใหญ่และได้ลงแข่งฟุตบอลถ้วย ง และถ้วย ค ก่อนจะย้ายมาสังกัดสโมสรธนาคารกรุงเทพและเลื่อนขึ้นไปเล่นถ้วย ข และ ก ถือเป็นลีกฟุตบอลอาชีพสูงสุดในขณะนั้นด้วย

เข้าสู่วงการ - ก้าวสู่บอร์ดบริหารของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัย พลตำรวจโท ชลอ เกิดเทศ อดีตนายกสมาคมฟุตบอลฯ ติดต่อทาบทามให้มาช่วยงาน วิจิตร เกตุแก้ว ที่รับตำแหน่งเลขาธิการสมาคมฯ ในขณะนั้น ตำแหน่งแรกของ วรวีร์ คือรองเลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ

ก้าวสำคัญ - ได้รับการสนับสนุนจากชาติมุสลิมประเทศเพื่อนบ้านให้ก้าวไปเป็นหนึ่งในบอร์ดสมาชิกของ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี ก่อนจะไปมีบทบาทแวดวงฟุตบอลระดับนานาชาติเป็นหนึ่งในกรรมการ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา

พรรคการเมือง - เพื่อไทย

ข้อสังเกต - เมื่อปี 2550 สโมสรสมาชิกที่มีสิทธิ์ออกเสียง 151 เสียง ปรากฎว่ามีการออกเสียง 118 เสียง โดยในการเสนอชื่อผู้เข้าชิงรอบสุดท้าย มีเพียงชื่อของ วรวีร์ มะกูดี เพียงคนเดียว โดยใช้เวลาเลือกตั้งน้อยที่สุดเพียง 45 วินาที
 ควงทนายยืนยันฟ้องกลับ
 วรวีร์ เข้าชี้แจงที่รัฐสภา
 ศุภชัย ช่วยเวช ทนายโชว์คำฟ้อง
 ลายเซ็นมัดตัว วรวีร์
นำสมาคมฟุตบอลไทยฯ ไปแสวงหาผลประโยชน์
กำลังโหลดความคิดเห็น