xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : รัฐบาล(หน้า)ไหน ทำให้ “ไทย” ตกเป็น “เหยื่อ” ธุรกิจบุหรี่ข้ามชาติ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดให้ร่วมลงชื่อคัดค้านการจัดงานแสดงสินค้ายาสูบฯ ที่เว็บไซต์ www.ashthailand.or.th
อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน

ไม่น่าเชื่อว่า ทั้งๆ ที่ประเทศไทยพยายามรณรงค์กันแทบตาย ให้คนไทยเลิกสูบบุหรี่ แถมมีกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบอยู่ แต่กลับเปิดโอกาสให้ธุรกิจอุตสาหกรรมบุหรี่ข้ามชาติเข้ามาจัดแสดงสินค้าในไทยได้แบบครบวงจรในอีกไม่กี่วันข้างหน้า งานนี้ นอกจากเป็นการ “ตบหน้าตัวเอง” ของประเทศไทยที่จะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียน เรื่องนโยบายการควบคุมยาสูบในปีหน้าแล้ว ยังเหมือนกับปล่อยปละ “เยาวชนคนรุ่นใหม่” ที่น่าจะเป็นอนาคตของชาติ ให้กลายเป็น “เหยื่ออันโอชะ” ของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติด้วย แม้จะมีนักวิชาการและหลายภาคส่วนของไทยออกมาคัดค้าน-ต่อต้านงานแสดงสินค้ายาสูบครั้งนี้ แต่ยังไม่มีสัญญาณใดๆ จากรัฐบาล

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

สัปดาห์หน้า จะมีงานแสดงสินค้างานหนึ่งที่ไม่น่าปล่อยให้จัดขึ้นในเมืองไทย แต่ก็คงสายเกินไปที่จะมีใครห้ามไม่ให้จัด แม้จะมีกระแสคัดค้านจากหลายภาคส่วนหลายองค์กรก็ตาม นั่นคือ งาน “TABINFO ASIA 2009” หรืองานแสดงสินค้ายาสูบแบบครบวงจร ที่อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี ซึ่งจัดโดยนิตยสาร Tobacco Reporter

กระแสคัดค้านการจัดงานดังกล่าว ไม่เพียงแสดงออกด้วยการยื่นหนังสือถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทราบถึงผลกระทบของการจัดงานดังกล่าวในไทย พร้อมเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐเข้าไปสนับสนุน หรือเกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมใดๆ ของงานดังกล่าว แต่ยังมีการเข้าชื่อของประชาชน โดยเฉพาะบุคลากรด้านสาธารณสุข เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านการจัดงานแสดงสินค้ายาสูบแบบครบวงจรในไทยด้วย โดยมีประชาชนเข้าชื่อเกินกว่า 5 หมื่นชื่อ

ลองไปดูกันว่า เหตุใดหลายภาคส่วนในสังคมจึงคัดค้านการจัดงานดังกล่าว? และเหตุใดบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ จึงเลือกที่จะมาจัดงานแสดงสินค้าที่คร่าชีวิตประชาชนในประเทศไทย?

ผศ.ดร.ปิยะรัตน์ นิ่มพิทักษ์พงศ์ แห่งคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร บอกถึงสาเหตุที่คัดค้านการจัดงานแสดงสินค้ายาสูบแบบครบวงจรในประเทศไทย ว่า เพราะบุหรี่เป็นสินค้าที่ทำลายสุขภาพและชีวิตประชาชนทั่วโลก และว่า การที่บริษัทบุหรี่ข้ามชาติเลือกมาจัดในประเทศไทย เพราะตลาดบุหรี่ในเอเชียยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก อุตสาหกรรมบุหรี่ข้ามชาติจึงเห็นลู่ทางที่จะเข้ามาหาลูกค้าหน้าใหม่ โดยเฉพาะ “เยาวชน”ซึ่งเป็นอนาคตของทุกประเทศ แต่บริษัทบุหรี่ข้ามชาติก็มองว่า เยาวชนคืออนาคตของบริษัทเช่นกัน

“ประเด็นก็คือการที่เขาพยายามที่จะขายบุหรี่ให้ได้มากขึ้น เพราะบุหรี่เราทราบกันว่าเป็นสินค้าที่ทำลายสุขภาพของประชาชนไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ทั่วโลกโดยเฉพาะในทวีปเอเชีย งานนี้เป็นงานแสดงสินค้าของอุตสาหกรรมยาสูบนานาชาติ เป้าหมายหลักไม่ใช่ประเทศไทยอย่างเดียว ทั้งเอเชีย ที่เขาจะเอาผู้ค้าจากหลายประเทศเข้ามา และเข้ามาช็อปพวกสินค้าเหล่านี้ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น บุหรี่ชูรส ซิการ์ที่ทำเป็นสีๆ พวกนี้เราดูสินค้าเรารู้ว่า เขา Target ใคร คือ เยาวชนกับผู้หญิง เพราะตลาดตรงนี้ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มากในภูมิภาคเอเชีย เขาเห็นตรงนี้เขาก็เลยมาที่นี่ เพราะเขารู้ว่าคนที่สูบบุหรี่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพราะฉะนั้นเขาต้องหาลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาเติมเต็มในธุรกิจของเขา เพราะฉะนั้นเยาวชน มันมีเอกสารลับของบริษัทบุหรี่ที่กล่าวเลยว่า เยาวชนเนี่ยเป็นอนาคตของบริษัท เพราะต้องหาหน้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ นั่นคือ ทำไมถึงผลิตหรือพัฒนาสินค้าเพื่อที่จะเข้าถึงคนกลุ่มนี้”

ผศ.ดร.ปิยะรัตน์ ยังชี้ด้วยว่า แม้จะไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายที่บริษัทบุหรี่ข้ามชาติจะจัดงานแสดงสินค้ายาสูบครบวงจรในไทยได้ แต่บริษัทผู้จัดงานก็ต้องไม่ทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบของไทย ซึ่งขณะนี้ยังมีบางประเด็นที่ผู้จัดงานกับผู้เกี่ยวข้องของไทยเห็นไม่ตรงกัน จึงต้องตีความว่าถ้าทำ จะผิดกฎหมายของไทยหรือไม่ เช่น การโฆษณายี่ห้อบุหรี่ และการสูบบุหรี่ภายในงาน

“ในทางกฎหมายเนี่ย เป็นสินค้าที่ถูกกฎหมาย อันนี้เราต้องยอมรับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสินค้าถูกกฎหมายอย่างเดียวที่ฆ่าคน มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนที่ใช้เนี่ยเสียชีวิตก่อนวัยอันควรตามงานวิจัย อย่างไรก็ตาม มันเป็นสินค้าถูกกฎหมาย เพราะฉะนั้นภาคธุรกิจที่มาจัดเนี่ย มันคงไม่ได้ผิดในลักษณะกฎหมายใดๆ ยกเว้นว่าเขาจะทำผิดกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบของประเทศไทย เช่น มาโฆษณายี่ห้อบุหรี่ในงาน ซึ่งผู้จัดเขาบอกว่าเขาทำได้ สามารถที่จะโฆษณาในงานได้ และสามารถสูบบุหรี่ในงานได้ด้วย ซึ่งตรงนี้กรมควบคุมโรคต้องเข้าไปดู ซึ่งกรมควบคุมโรคก็มีนโยบายที่จะเข้าไปเฝ้าระวังอยู่แล้ว จริงๆ แล้วการโฆษณาในงานเนี่ย ตามกฎหมายเราก็ทำไม่ได้ แต่ตรงนั้นกำลังตีความ เพราะเขาใช้คำว่า Private Event ตีความว่า Private Event เนี่ยมันคืออะไร เพราะเราจะมีข้อยกเว้นในกฎหมายหรือเปล่า ซึ่งตรงนี้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำลังพิจารณา แต่เท่าที่ทราบกฎหมายเราเนี่ยไม่ได้มีข้อยกเว้น แต่ตรงนี้คงต้องดูในตัวบทกฎหมายอีกครั้ง คือ เขาบอกว่าสามารถสูบได้ในส่วนแสดงสินค้าที่เป็นฮอลล์ และเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจริงๆ แล้วตรงนี้เรามีกฎหมายคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่ภายใน โดยเฉพาะในที่ปรับอากาศอยู่แล้ว ซึ่งส่วนแสดงสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในประกาศกระทรวงอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นสถานที่ปลอดบุหรี่ เพราะฉะนั้นตรงนี้เขาทำอย่างไร กรมควบคุมโรคกำลังเข้าไปดู”

ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิต เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ พูดถึงเหตุที่คัดค้านการจัดงานแสดงสินค้ายาสูบครบวงจรในไทยว่า ปัจจุบันมีคนไทยสูบบุหรี่ประมาณ 10 ล้านคนเศษ โดยเป็นผู้ชายประมาณ 90% ขณะที่ผู้สูบรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง โดยเฉพาะวัยรุ่น และว่า หลังจากมูลนิธิรวมทั้งภาครัฐได้มีการรณรงค์ถึงพิษภัยของบุหรี่และออกมาตรการเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ ทำให้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีผู้เลิกสูบบุหรี่แล้ว 4.6 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่าที่ควรจะเป็นจริงๆ 4 ล้านคน และเมื่อจู่ๆ บริษัทบุหรี่ข้ามชาติจะมาจัดงานในไทย ย่อมทำให้การควบคุมการสูบบุหรี่ในไทยทำได้ยากขึ้น

“เครือข่ายวิชาชีพสาธารณสุชทั้งหมด ก็เห็นว่า การจัดงานนี้มันตรงข้ามและมันก็มาบั่นทอนความพยายามที่พวกเราพยายามทำงานกันอยู่ในการที่จะควบคุมการสูบบุหรี่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมาแสดงจุดยืนว่าไอ้พวกนี้มันมาทำให้งานของเราทำยากขึ้นไปอีก ซึ่งที่เราทำๆ อยู่นี่เราก็เหนื่อยพอแล้ว คนทำก็น้อย งบประมาณก็น้อย และเรื่องที่ต้องทำอีกก็ตั้งเยอะ คนสูบบุหรี่ก็ยังไม่ลดลงเท่าที่ควร แต่ขณะเดียวกัน ธุรกิจก็จะมาโปรโมตสินค้าตัวนี้และมาโปรโมตในบ้านเรา เราก็คิดว่าเราต้องแสดงให้คนรู้ และเราก็เรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขไปเฝ้าระวังไม่ให้เขาทำอะไรที่มันฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมทั้งเราก็เรียกร้องให้รัฐบาลได้มีการให้นโยบายให้หน่วยงานรัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ รวมทั้งที่สำคัญเราต้องการให้รัฐบาลได้ดำเนินตามมาตรา 5.2 ก็คือการให้ธุรกิจยาสูบให้ออกไปจากกระบวนกำหนดนโยบายสาธารณะของเรา และในมาตรา 5.3 มันก็ยังกำหนดต่อไปอีกว่า ไม่ให้หน่วยงานของรัฐร่วมกิจกรรมใดใดกับธุรกิจยาสูบ ไม่ให้หน่วยงานของรัฐรับการบริจาคจากธุรกิจยาสูบหรือรับของขวัญจากธุรกิจยาสูบ รวมทั้งไม่ให้หน่วยงานของรัฐเข้าไปร่วมกิจกรรมใดๆ ที่บริษัทบุหรี่บอกว่ามีกิจกรรมที่ทำเพื่อสังคมอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องและทำ”

“(ถาม-เราคิดว่าเมื่องานนี้จัดในบ้านเราได้ จะทำให้จำนวนผู้สูบบุหรี่ในบ้านเราเพิ่มขึ้นอีกสักแค่ไหน?) มันคงประมาณไม่ได้ แต่มันมีผลกระทบแน่ คือรูปแบบการตลาดหรือสิ่งที่จะออกมาจากการระดมสมองของเขาเรื่องการทำตลาดในประเทศที่มีกฎหมายห้ามโฆษณาเข้มงวดอย่างประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เขาจะมีออกมา ผลิตภัณฑ์ไร้ควันทั้งหลาย จริงๆ มันก็คือสถานการณ์ที่เขาจำลองขึ้นมา ก็คือ สถานการณ์ประเทศไทยนั่นเอง คิดว่า เขาจะทำตลาดอย่างไรในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมที่ค่อนข้างเข้มงวด ประเทศไทยก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งในการควบคุมที่ค่อนข้างเข้มงวด เพราะฉะนั้นเขาก็หาลู่ทางที่จะค้าขายให้ได้ ไม่ว่านโยบายจะเข้มงวดอย่างไร และบทเรียนที่เกิดขึ้นที่ 4 ปีก่อนที่เขาจัดที่กัวลาลัมเปอร์ ก็คือ หลังจากนั้น 1-2 ปี สินค้าทั้งหลายที่เขาแสดงอยู่ในที่นิทรรศการครั้งนั้น ก็ออกสู่ตลาดประเทศมาเลเซีย อันนี้ก็ย่อมมีส่วนที่จะกระทบทำให้การสูบบุหรี่มากขึ้น ซึ่งเป้าเขาคงอยู่ที่เอเชียและผลิตภัณฑ์ทั้งหลายที่จะมีการพัฒนาขึ้นมาก็คงจำหน่ายไปทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยไม่ใช่เฉพาะเอเชีย”


ศ.นพ.ประกิต บอกด้วยว่า คงไม่สามารถเรียกสำนึกจากเอกชนที่ยอมให้มีการจัดงานแสดงสินค้ายาสูบครบวงจรในไทยได้ เพราะงานใกล้จะมีขึ้นแล้ว แต่อยากเรียกสำนึกจากร้านค้าปลีกกว่า 5 แสนร้านที่ขายบุหรี่ในเมืองไทยขณะนี้มากกว่า ว่า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายด้วยการไม่ขายบุหรี่ให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และห้ามตั้งซองบุหรี่ ณ จุดขาย

ด้าน นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย ซึ่งเป็น 1 ในผู้ที่คัดค้านการจัดงานแสดงสินค้ายาสูบครบวงจรในไทย ก็ชี้ให้เห็นถึงเล่ห์กลของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติที่หันมารุกรานและล่าเหยื่อในประเทศด้อยพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยในครั้งนี้

“อุตสาหกรรมยาสูบเป็นอุตสาหกรรมที่ฆ่าคน อย่าลืมว่าคนในโลกเราเนี่ย ปีหนึ่งตาย 5.5 ล้านคน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยาสูบทั้งหลาย แล้วที่สำคัญ ก็คือ อุตสาหกรรมยาสูบเนี่ยเขาในประเทศที่เจริญแล้ว หรือประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างอเมริกา อย่างยุโรป คนสูบบุหรี่น้อยลงเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลเขาเข้มแข็งมีมาตรการทุนที่จะดำเนินการ เพราะฉะนั้นคนสูบบุหรี่น้อยลงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้บริษัทบุหรี่เขาก็ต้องออกมารุกรานประเทศที่ด้อยพัฒนาอย่างในทวีปเอเชียของเรา ทวีปแอฟริกา และในอเมริกาใต้ เพราะยังเป็นประเทศที่ยากจนและรัฐบาลไม่เข้มแข็ง ดังนั้น เขาก็ออกมา พูดง่ายๆ ว่า ออกมาล่าเหยื่อ ให้คนในประเทศที่กำลังยากจนเป็นเหยื่อของเขา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะในจำนวน 5.5 ล้านคนที่ตายเนี่ย 70% มันอยู่ในประเทศที่ยากจน ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำทุกอย่างไม่ให้เขาทำให้คนในประเทศยากจนตายสูบบุหรี่มากขึ้นและตายมากขึ้น อันนี้คือเหตุผลสำคัญ แล้วอุตสาหกรรมยาสูบเป็นอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยมาก และมีเล่ห์กลมาก โกหกมากที่สุด เขาทำทุกอย่างที่จะทำให้กิจการของเขาเจริญ ขายได้ดีขึ้น แล้วน้ำตามันตกอยู่กับคนที่ยากจนในประเทศยากจนทั้งหลาย”

นพ.หทัย ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เหตุที่ประเทศไทยกลายเป็นเหยื่อของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติในครั้งนี้ เป็นเพราะการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยมีจุดอ่อน โดยเฉพาะสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) ที่เป็นผู้อนุญาตให้บริษัทบุหรี่ข้ามชาติสามารถจัดแสดงสินค้ายาสูบในไทยได้ โดยคิดแต่เรื่องรายได้ที่จะได้รับอย่างเดียว ไม่คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา

“บริษัทบุหรี่เขามาติดต่อ สสปน.(สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ) นานเป็นปีแล้วที่จะมาจัดงานและจะมาเช่าเมืองทองธานี ซึ่งเราก็ไม่ทราบ และ สสปน.ก็ไม่เคยมาถามเรา ไม่เคยมาถามกระทรวงสาธารณสุข ว่า ความเห็นของท่านเป็นอย่างไร เราไม่ทราบจนกระทั่งเขาตกลงกันไปเรียบร้อยแล้ว คงเซ็นสัญญากันไปเรียบร้อยแล้วว่าจะมาจัด อันนี้ก็คือจุดอ่อนของระบบการทำงานของประเทศไทย เขาจะนึกถึงด้านเดียว เขาจะนึกว่าถ้ามีคนมาจัดงาน ประเทศก็จะมีรายได้มากขึ้น คนต้องเข้ามามากขึ้น มาพักโรงแรม มาทานอาหาร มาใช้จ่ายในประเทศของเราทำให้ประเทศไทยมีรายได้มากขึ้น แต่เขาไม่เคยนึกเลยว่าผลเสียหายอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเผื่อคนไทยสูบบุหรี่มากขึ้น คนไทยก็ต้องตายมากขึ้น รัฐบาลก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมากขึ้น เขาไม่ทราบ คนที่รับทำสัญญาจัดงานครั้งนี้ สสปน.เนี่ยเขาไม่ทราบ และนอกจากไม่ทราบแล้ว เขาก็ไม่สนใจจะถามใคร มันก็คล้ายๆ กับกระทรวงพาณิชย์นะ กระทรวงพาณิชย์ของเราเนี่ยเที่ยวได้ไปทำสัญญาการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ เยอะแยะไปหมด ในภูมิภาคอาเซียนที่เรียกว่าอาฟต้านี่ก็ 10 ประเทศในภูมิภาคนี้ก็ไปทำสัญญากับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย เต็มไปหมดเลย ก็โดยอ้างว่าเมืองไทยจะได้ขายสินค้ามากขึ้น แต่มากขึ้นแล้วเป็นบวกจริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ อะไหล่รถยนต์เราอาจจะขายได้มากขึ้นจริง แต่เรื่องอื่นเราก็เสียเปรียบประเทศอื่น”

นพ.หทัย ยังเผยด้วยว่า สสปน.หรือสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ที่เป็นผู้อนุญาตให้บริษัทบุหรี่ข้ามชาติสามารถเข้ามาจัดงานแสดงสินค้ายาสูบครบวงจรในไทยได้นั้น เป็นองค์กรมหาชนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ แต่ไม่แน่ใจว่า การอนุญาตดังกล่าวมีขึ้นในรัฐบาลใด แต่คงไม่ใช่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เพราะการขออนุญาตเข้ามาจัดงานในไทยต้องขอล่วงหน้าเป็นปีๆ ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารประเทศยังไม่ถึง 1 ปี

เมื่อถามว่า คิดว่า จะมีวิธีป้องกันไม่ให้มีการจัดงานแสดงสินค้ายาสูบครบวงจรในไทยอีกได้อย่างไร นพ.หทัย บอกว่า ที่ตนวางแผนไว้ ก็คือ เรามีกฎหมายขององค์การอนามัยโลก และมีมาตรา 5.3 ที่บอกไว้ว่า ไม่ให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ให้ความร่วมมือกับบริษัทยาสูบในเรื่องใดบ้าง ซึ่งคงต้องนำมาตรา 5.3 มาแปลเป็นภาษาไทย แล้วตกแต่งให้ดี จากนั้นเสนอ ครม.ให้เห็นชอบเพื่อเป็นระเบียบให้ส่วนราชการต่างๆ ปฏิบัติตาม นั่นหมายถึง ต่อไป สสปน.ก็ไม่สามารถที่จะอนุญาตให้มีการจัดงานแสดงสินค้ายาสูบครบวงจรในไทยได้อีก ส่วนกระทรวงพาณิชย์ก็เช่นเดียวกัน ไม่สามารถไปเจรจาแล้วปล่อยให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้อีก

นพ.หทัย บอกด้วยว่า แม้การออกระเบียบดังกล่าวอาจจะต้องใช้เวลาดำเนินการ แต่อย่างน้อยหากทำสำเร็จ ก็จะช่วยให้ประเทศไทยมีเกราะป้องกันตัวจากการรุกรานของอุตสาหกรรมบุหรี่ข้ามชาติได้!!



ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิต เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น