“สมเกียรติ” แนะปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ต้องรื้อระบบ “การเงิน-ครู-อำนาจ” พัฒนาให้มีกลุ่มโรงเรียนดีเด่นดัง 3 โรงเรียนต่อ 1 อำเภอ ใช้งบกลุ่มละ 50 ล้านบาท หมดปัญหาแย่งที่เรียน ปรับโครงสร้างอำนาจให้คณะกรรมการสถานศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษามากขึ้น
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษารอบสอง ว่า การปฏิรูปการศึกษารอบแรกที่ผ่านมา ยังมีปัญหาที่เห็นได้ชัด 2 ประการ ได้แก่ คุณภาพของครูที่ยังไม่ดีขึ้น และคุณภาพของนักเรียนต่ำลง ซึ่งผลจากการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (National Test) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เด็กส่วนใหญ่ทำคะแนนอยู่ในช่วง 0-30% เกือบทุกวิชา เนื่องจากการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา ไปหมกมุ่นในเรื่องการปรับโครงสร้าง การจัดหาตำแหน่งให้กับบุคลากรมากเกินไป จึงไม่สามารถปฏิรูปการศึกษาในเชิงคุณภาพได้สำเร็จ
ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษารอบสองควรจะมุ่งเน้นการปฏิรูป 3 เรื่องหลัก ดังนี้ 1.การปฏิรูปการเงินเพื่อการศึกษา เพื่อขจัดปัญหาการเรียกรับเงินแปะเจี๊ยะจากผู้ปกครอง และการย้ายที่อยู่ เพื่อให้เด็กได้เข้าเรียนโรงเรียนประเภท ดี เด่น ดัง โดยรัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาโรงเรียน ให้แต่ละอำเภอมีโรงเรียนที่มีคุณภาพอย่างน้อย 3 แห่งต่อ 1 อำเภอ โดยโรงเรียนในกลุ่มนี้ สามารถใช้ทรัพยากรด้านต่างๆ ทั้งอาคาร สถานที่ ครู บุคลากร หรือสื่อการเรียนการสอนร่วมกันได้ ซึ่งใช้งบประมาณไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อกลุ่มโรงเรียน หากสามารถปฏิรูปเรื่องดังกล่าวได้ ปัญหาเรื่องแปะเจี๊ยะและการแย่งที่เรียนจะหมดไป
2.การปฏิรูประบบคุณภาพของครู ต้องปรับคุณวุฒิของครูให้สูงขึ้น โดยการประเมินวิทยฐานะครูต้องประเมินจากผลสัมฤทธิ์จากตัวผู้เรียนโดยตรง หากผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ครูก็ไม่สิทธิ์ไปทำผลงานทางวิชาการ เนื่องจากที่ผ่านมาพบปัญหาครูทิ้งห้องเรียนไปทำผลงานทางวิชาการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้เรียนอย่างมาก และ 3.การปฏิรูปโครงสร้างเชิงอำนาจ โดยให้คณะกรรมการสถานศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น รวมถึงให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการประเมินผลการจัดการศึกษาของโรงเรียนด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงคณะกรรมการหาเงินหรือเป็นผู้บริจาคเงินให้การศึกษาเท่านั้น
ทั้งนี้ ตนจะนำแนวทางดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการประชุมวันที่ 11 มิ.ย.เกี่ยวกับการจัดสัมมนาระดับชาติการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ภายในปีงบประมาณนี้ โดย นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ได้เสนอให้จัดสัมมนาในหัวข้อ ปอกเปลือกการปฏิรูปการศึกษาไทยรอบ 2 ซึ่งจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในวันดังกล่าว
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษารอบสอง ว่า การปฏิรูปการศึกษารอบแรกที่ผ่านมา ยังมีปัญหาที่เห็นได้ชัด 2 ประการ ได้แก่ คุณภาพของครูที่ยังไม่ดีขึ้น และคุณภาพของนักเรียนต่ำลง ซึ่งผลจากการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (National Test) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เด็กส่วนใหญ่ทำคะแนนอยู่ในช่วง 0-30% เกือบทุกวิชา เนื่องจากการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา ไปหมกมุ่นในเรื่องการปรับโครงสร้าง การจัดหาตำแหน่งให้กับบุคลากรมากเกินไป จึงไม่สามารถปฏิรูปการศึกษาในเชิงคุณภาพได้สำเร็จ
ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษารอบสองควรจะมุ่งเน้นการปฏิรูป 3 เรื่องหลัก ดังนี้ 1.การปฏิรูปการเงินเพื่อการศึกษา เพื่อขจัดปัญหาการเรียกรับเงินแปะเจี๊ยะจากผู้ปกครอง และการย้ายที่อยู่ เพื่อให้เด็กได้เข้าเรียนโรงเรียนประเภท ดี เด่น ดัง โดยรัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาโรงเรียน ให้แต่ละอำเภอมีโรงเรียนที่มีคุณภาพอย่างน้อย 3 แห่งต่อ 1 อำเภอ โดยโรงเรียนในกลุ่มนี้ สามารถใช้ทรัพยากรด้านต่างๆ ทั้งอาคาร สถานที่ ครู บุคลากร หรือสื่อการเรียนการสอนร่วมกันได้ ซึ่งใช้งบประมาณไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อกลุ่มโรงเรียน หากสามารถปฏิรูปเรื่องดังกล่าวได้ ปัญหาเรื่องแปะเจี๊ยะและการแย่งที่เรียนจะหมดไป
2.การปฏิรูประบบคุณภาพของครู ต้องปรับคุณวุฒิของครูให้สูงขึ้น โดยการประเมินวิทยฐานะครูต้องประเมินจากผลสัมฤทธิ์จากตัวผู้เรียนโดยตรง หากผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ครูก็ไม่สิทธิ์ไปทำผลงานทางวิชาการ เนื่องจากที่ผ่านมาพบปัญหาครูทิ้งห้องเรียนไปทำผลงานทางวิชาการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้เรียนอย่างมาก และ 3.การปฏิรูปโครงสร้างเชิงอำนาจ โดยให้คณะกรรมการสถานศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น รวมถึงให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการประเมินผลการจัดการศึกษาของโรงเรียนด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงคณะกรรมการหาเงินหรือเป็นผู้บริจาคเงินให้การศึกษาเท่านั้น
ทั้งนี้ ตนจะนำแนวทางดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการประชุมวันที่ 11 มิ.ย.เกี่ยวกับการจัดสัมมนาระดับชาติการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ภายในปีงบประมาณนี้ โดย นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ได้เสนอให้จัดสัมมนาในหัวข้อ ปอกเปลือกการปฏิรูปการศึกษาไทยรอบ 2 ซึ่งจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในวันดังกล่าว