xs
xsm
sm
md
lg

ชงคลังขึ้นภาษีเหล้า-บุหรี่ เต็มเพดาน ชี้ฟาด 4 หมื่น ล.เผยเข้าท่ากว่ารีดจากชา-กาแฟ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ดันขึ้นภาษีเบียร์-เหล้าขาว เต็มเพดาน ชี้ รัฐได้ 2-3 หมื่นล้าน ส่วนบุหรี่ปรับฐานการคิดภาษีบุหรี่เป็นราคาขายปลีกต่อซอง ได้อีก 2 หมื่นล้าน ส่วนประชาชนได้สุขภาพ ลดบริโภคอบายมุข เข้าท่ากว่ารีดภาษีชา-กาแฟ

นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า ในวันที่ 9 มีนาคม นายพฤติชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เรียกประชุมชี้แจงข้อมูลเพื่อพิจารณาการขึ้นภาษีบาป (Sin tax) โดย ศวส.จะเสนอให้ขึ้นภาษีเบียร์และเหล้าขาว เพราะขณะนี้ยังไม่เต็มเพดาน ซึ่งนอกจากรัฐบาลจะสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการช่วยลดการบริโภค ซึ่งเบียร์เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีเยาวชนเป็นนักดื่มหน้าใหม่นิยมดื่มกันอย่างมาก กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการดื่มเหล้า ส่วนการขึ้นภาษีเหล้าขาว จะเป็นการสกัดนักดื่มหน้าเก่าที่ติดสุราอีกด้วย

“หากจะขึ้นภาษีแทนที่จะเก็บภาษีชา กาแฟ รัฐควรเก็บภาษีในส่วนที่ควรขึ้นก่อน โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะทุกวันนี้เหล้ายังถูกอยู่ การขึ้นภาษีหลายๆ ตัว ประชาชนอาจเดือดร้อนอย่างภาษีน้ำมัน แต่ภาษีเหล้ากลับไม่ขึ้น ทั้งที่ๆ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหล้าเป็นผู้ดื่ม 40% ส่วนคนที่ไม่ดื่มได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุเสียชีวิต 60%” นพ.บัณฑิต กล่าว

นพ.บัณฑิต กล่าวต่อว่า การขึ้นภาษีเต็มเพดานสำหรับเบียร์ควรขึ้นภาษีตามมูลค่าเบียร์จาก 55% เป็น 60% ภาษีสุราขาว สุราแช่ และสุรากลั่นชุมชน จาก 110 ต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์เป็น 200 บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ในปีที่ 2 ขึ้นเป็น 300 บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ และปีสุดท้ายจึงขึ้นเต็มเพดาร 400 บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ นอกจากนี้ ยังมีสุราผสม เช่น เหล้าจีน เซียงชุน สามารถเก็บเพิ่มจาก 240 บาท เป็น 400 บาทต่อลิตร และขึ้นภาษีตามมูลค่าบรั่นดีจาก 45% เป็น 50% ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการได้ทันที ไม่ต้องไปแก้ไข พ.ร.บ.สุรา พ.ศ.2493 เพียงแต่ออกกฎกระทรวงขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทเต็มเพดานอัตราภาษี เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ประกาศใช้ได้ทันที

“คำนวณแล้วเพียงแค่เก็บภาษีเบียร์และเหล้าขาวในอัตรา 200 บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี จากเดิมที่สามารถเก็บได้ 7 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่รัฐบาลจะต้องมีความกล้า เพราะกำลังชนกับธุรกิจเบียร์และสุรายักษ์ใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเมือง แต่จากสภาวะเศรษฐกิจที่มีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ การจัดเก็บภาษีเหล้าจึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่ง” นพ.บัณฑิต กล่าว

ผอ.ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะเสนอให้รัฐบาลคงโครงสร้างภาษีเดิมไว้ เนื่องจากบริษัทเหล้าข้ามชาติมีความพยายามที่จะเสนอการเปลี่ยนระบบภาษีเป็นการจัดเก็บตามปริมาณแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว ซึ่งปกติแล้วกรมสรรพสามิตจะมีการคิดภาษีขั้นต่ำตามปริมาณแอลกอฮอล์อยู่แล้ว คือ มีปริมาณแอลกอฮอล์มากจะคิดภาษีมาก และมีการคิดภาษีตามมูลค่าราคา คือ หากขายแพง ก็จะเสียภาษีมาก แต่หากมีการเปลี่ยนโครงสร้างภาษีโดยเก็บแต่ตามปริมารแอลกอฮอล์โดยอ้างเรื่องสุขภาพนั้น จะทำให้เบียร์จะเสียภาษีลดลง ขณะที่เหล้าต่างประเทศจะเสียภาษีเท่ากับเหล้าที่ผลิตในประเทศ รวมถึงให้มีการปรับขึ้นภาษีตามอัตราภาษีเงินเฟ้อด้วย

นพ.บัณฑิต กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นอื่นๆ จะเสนอให้มีการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียบใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งปัจจุบันค่าธรรมเนียมถูกอย่างมาก หากเป็นเหล้าในประเทศจะเสียค่าธรรมเนียมเพียงปีละ 100 บาท หรือวันละ 30 สตางค์ ส่วนเหล้าต่างประเทศเสียค่าธรรมเนียมปีละ 1,500 บาท หรือ 4 บาทต่อวัน ทำให้สามารถเปิดร้านจำหน่ายได้ง่ายและร้านที่จำหน่ายขยายจำนวนมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีใบอนุญาตจำหน่ายทั้งเหล้าในประเทศและต่างประเทศรวมกันกว่า 6 แสนใบ ซึ่งตามหลักการแล้วการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรจะเป็นขายน้อยแต่ได้ภาษีเข้ารัฐมากไม่ใช่ขายได้มากแต่ได้ภาษีเข้ารัฐน้อย แต่ทุกวันนี้สรรพสามิตไม่ยอมขึ้นค่าธรรมเนียมแต่ใช้วิธีขายได้ในราคาถูกแล้วหาเงินเข้ารัฐโดยจำหน่ายสุราให้ได้มากๆ

นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย และประธานภาคีประเทศสมาชิกกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ในฐานะเป็นตัวแทนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เตรียมยื่นข้อเสนอต่อรมช.คลัง ในการประชุมรับฟังความคิดเห็นโดยเสนอให้กรมสรรพสามิตจัดคำนวณภาษีบุหรี่ตามฐานราคาขายปลีกของบุหรี่ รวมทั้งขึ้นภาษีบุหรี่ ซึ่งปัจจุบันมีการขยายเพดานบุหรี่อยู่ที่ 90% ทั้งนี้ ที่ผ่านมา หากเป็นบุหรี่ไทยจะมีการคำนวณโดยใช้ฐานราคาหน้าโรงงาน ซึ่งราคาอยู่ที่ประมาณ 26 บาท ส่วนบุหรี่ต่างประเทศเป็นการคำนวณโดยฐานราคาที่นำเข้ามาในประเทศ ซึ่งสำแดงราคาอยู่ที่ 7 บาท แม้จะเก็บภาษีสูงถึง 80% แต่ก็เก็บภาษีก็ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง ขณะที่ราคาขายในตลาดบุหรี่ต่างประเทศราคา 65-70 บาท ส่วนบุหรี่ในประเทศ 35 บาท ซึ่งทำให้บุหรี่ไทยเสียเปรียบ นอกจากนี้บุหรี่นอกที่ส่งผ่านมาทางร้านปลอดภาษีที่ท่าอากาศยานฯ แจ้งราคานำเข้าประมาณ 20-30 บาท แต่ผ่านด่านศุลกากรเพียง 7 บาท เป็นไปได้อย่างไร

“ทั่วโลกก็มีการคำนวณภาษีตามราคาขายปลีกอยู่แล้ว จึงจะยุติธรรม เพราะหากเป็นการคำนวณตามราคาที่สำแดงนำเข้า สามารถบอกราคาที่ไม่เป็นจริงเพื่อเสียภาษีในอัตราที่ไม่แพง เนื่องจากไม่มีใครทราบต้นทุนราคาที่แท้จริง ดังนั้น กรมสรรพสามิตจึงต้องมีการแก้ไขเลิกใช้วิธีเก็บภาษีทีทำให้ไทยเสียเปรียบ บุหรี่ต่างชาติเสียภาษีน้อย เห็นชัดๆ ว่า ถูกบริษัทบุหรี่โกง 2-3 หมื่นล้าน จึงต้องเอาเงินก้อนนี้คืนมา ซึ่งหากคิดตามราคาขายปลีก ก็หลอกไม่ได้ โกงกันไม่ได้” นพ.หทัย กล่าว

นพ.หทัย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตควรจัดเก็บภาษีบุหรี่ม้วนเอง หรือ ยาตั้ง ยาเส้น ด้วย ซึ่งปัจจุบันพบว่า มีการจัดเก็บภาษีน้อยมาก และไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน เพราะกรมสรรพสามิตไม่มีระบบฐานข้อมูลการผลิตยาเส้น จึงไม่สามารถจัดระบบได้ ไม่ทราบว่าใครผลิตเท่าไหร่อย่างไร เพราะเป็นการผลิตในครัวเรือนภาคอีสาน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนจนในต่างจังหวัดหันไปสูบบุหรี่มวนเองเพิ่มขึ้น ขณะนี้มีผู้สูบมวนเองกว่า 50% แต่รัฐบาลไม่เคยเก็บภาษีส่วนนี้มาเป็นกอบเป็นกำเลย จึงเป็นหน้าที่กระทรวงคลังจัดระเบียนใหม่ โดยให้ผู้ที่ผลิตมาขึ้นทะเบียนและต้องเสียภาษี

ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ไม่ทราบข้อมูลว่ากาเฟอีนทำลายสุขภาพจริงหรือไม่ เพราะไม่ชัดเจนเหมือนกับเหล้าและบุหรี่ที่มีโทษชัดเจน อีกทั้งในประเทศไทยแม้จะมีการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนมานาน แต่การศึกษาเรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าเพียงพอหรือไม่ เพราะเครื่องดื่มประเภทดังกล่าวอาจมีทั้งคุณและโทษ ขึ้นอยู่กับการบริโภค เหมือนกับอาหารที่ทุกชนิดมีทั้งประโยชน์ละโทษ ไขมัน หรือน้ำตาลก็มีทั้งประโยชน์และโทษ หากพิสูจน์ได้ว่าชา กาแฟมีโทษ มีน้ำหนักชัดเจน ก็ควรเก็บภาษี
กำลังโหลดความคิดเห็น