สปสช.-ชมรมเพื่อนโรคไต แจงยิบสิทธิประโยชน์ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังบัตรทอง 1 ต.ค.นี้ พร้อมให้บริการแน่นอน ขณะที่ 17 ก.ย.นี้ จัดหารือใหญ่เตรียมความพร้อมหน่วยบริการสำหรับบริการฟอกเลือด คาด ภายใน 3-6 เดือน ครอบคลุมทั่วประเทศ
วันที่ 13 กันยายน ที่อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ซอยศูนย์วิจัย ในการประชุมชี้แจงสิทธิประโยชน์การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งจัดโดยชมรมเพื่อนโรคไตและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสปสช. กล่าวว่า สิทธิประโยชน์ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 ที่ผ่านมา โดยเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2550 ซึ่งการบริการนั้นจะมีการขยายบริการไปเป็นระยะ โดย สปสช.ส่งเสริมบริการทดแทนไตด้วยการล้างไตผ่านช่องท้อง เมื่อเริ่มต้นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าระยะแรก การบริการทดแทนไตในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายไม่รวมอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ เนื่องมาจากในช่วงนั้น ยังมีปัญหาด้านระบบการเงินการคลังยังไม่พร้อม ระบบบริการมีไม่เพียงพอ จำเป็นต้องขยายให้พร้อม เพื่อให้ผู้ป่วยโรคไตเข้าถึงบริการ และต้องส่งเสริมการป้องกันให้เกิดผู้ป่วยรายใหม่น้อยที่สุด เพราะหากไม่ควบคุม จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประสบภาวะล้มละลายจากการแบกรับค่ารักษาพยาบาล และส่งกระทบต่องบประมาณของประเทศ
รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวต่อว่า กระทั่งเมื่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเดินมาได้ระยะหนึ่ง โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายก็รวมอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ โดยสปสช.จะเน้นการทดแทนไตด้วยการล้างไตผ่านช่องท้อง เนื่องจากเป็นวิธีที่จะทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้มากที่สุด ทั้งนี้ การฟอกเลือดนั้น ประเทศไทยยังมีปัญหาด้านเครื่องฟอกไต บุคลากร และหน่วยบริการมีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ จะให้บริการฟอกเลือดสำหรับผู้ป่วยรายเก่าที่เลือกวิธีการฟอกเลือดต่อไป ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองโดยร่วมจ่ายไม่เกิน 500 บาท สปสช.ชดเชยให้หน่วยบริการ 1,000 บาท ส่วนผู้ป่วยรายใหม่ที่ต้องฟอกเลือดโดยมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ผู้ป่วยไม่ต้องจ่าย โดย สปสช.รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้หน่วยบริการครั้งละ 1,500 บาท
“ประเด็นนี้ปัจจุบันยังมีปัญหาเล็กน้อย หลังจากที่สมาคม รพ.เอกชน ออกหนังสือเวียนแนะนำสมาชิกสมาคม รพ.เอกชน ไม่ให้เข้าร่วมโครงการกับ สปสช. โดยระบุว่า เงินชดเชยน้อย แต่จนถึงขณะนี้ก็มี รพ.เอกชนจำนวนหนึ่งสมัครเข้าร่วมโครงการ และหน่วยบริการรัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และนอกกระทรวงสาธารณสุขก็พร้อมให้บริการเรื่องนี้ เชื่อว่า จะรองรับบริการนี้ได้แน่นอน”นพ.ประทีป กล่าว
นพ.ประทีป กล่าวด้วยว่า วันที่ 17 กันยายนนี้ กระทรวงสาธารณสุข สปสช.และมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย จะมีการหารือถึงการเตรียมความพร้อมหน่วยบริการสำหรับบริการฟอกเลือดดังกล่าว เพื่อให้ผู้ป่วยที่ยังฟอกเลือดอยู่ในปัจจุบัน และผู้ป่วยรายใหม่ที่จำเป็นต้องฟอกเลือด เข้าถึงบริการได้มากที่สุด โดยเบื้องต้นมูลนิธิโรคไตฯจะเข้าไปบริหารจัดการเครื่องฟอกไตที่มีอยู่ทั่วประเทศ ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น เพิ่มจำนวนครั้งมากกว่าเดิม คาดว่าภายใน 3-6 เดือนจะครอบคลุมทั่วประเทศ
ด้าน นายสุบิล นกสกุล ประธานชมรมเพื่อนโรคไต กล่าวว่า การประชุมชี้แจงในวันนี้ จะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการชมรมเพื่อนโรคไต เพื่อชี้แจงการใช้บริการกับสมาชิกและผู้ป่วยโรคไตในต่างจังหวัด ขณะเดียวกัน ก็จะร่วมผลักดันและส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยโรคไตในระดับนโยบายของรัฐ ซึ่งการโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์บัตรทอง จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ที่ผ่านมาชมรมเพื่อนโรคไตได้มีส่วนร่วมขยายสิทธิประโยชน์และให้ผู้ป่วยได้ร่วมกลุ่มกันในลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อน ขณะนี้มีเครือข่ายผู้ป่วยโรคไต 20 เครือข่าย และจะขยายให้มีทั่วประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นเครือข่ายมิตรภาพบำบัดเพื่อนช่วยเพื่อน และการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยโรคไตต่อไป
วันที่ 13 กันยายน ที่อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ซอยศูนย์วิจัย ในการประชุมชี้แจงสิทธิประโยชน์การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งจัดโดยชมรมเพื่อนโรคไตและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสปสช. กล่าวว่า สิทธิประโยชน์ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 ที่ผ่านมา โดยเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2550 ซึ่งการบริการนั้นจะมีการขยายบริการไปเป็นระยะ โดย สปสช.ส่งเสริมบริการทดแทนไตด้วยการล้างไตผ่านช่องท้อง เมื่อเริ่มต้นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าระยะแรก การบริการทดแทนไตในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายไม่รวมอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ เนื่องมาจากในช่วงนั้น ยังมีปัญหาด้านระบบการเงินการคลังยังไม่พร้อม ระบบบริการมีไม่เพียงพอ จำเป็นต้องขยายให้พร้อม เพื่อให้ผู้ป่วยโรคไตเข้าถึงบริการ และต้องส่งเสริมการป้องกันให้เกิดผู้ป่วยรายใหม่น้อยที่สุด เพราะหากไม่ควบคุม จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประสบภาวะล้มละลายจากการแบกรับค่ารักษาพยาบาล และส่งกระทบต่องบประมาณของประเทศ
รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวต่อว่า กระทั่งเมื่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเดินมาได้ระยะหนึ่ง โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายก็รวมอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ โดยสปสช.จะเน้นการทดแทนไตด้วยการล้างไตผ่านช่องท้อง เนื่องจากเป็นวิธีที่จะทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้มากที่สุด ทั้งนี้ การฟอกเลือดนั้น ประเทศไทยยังมีปัญหาด้านเครื่องฟอกไต บุคลากร และหน่วยบริการมีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ จะให้บริการฟอกเลือดสำหรับผู้ป่วยรายเก่าที่เลือกวิธีการฟอกเลือดต่อไป ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองโดยร่วมจ่ายไม่เกิน 500 บาท สปสช.ชดเชยให้หน่วยบริการ 1,000 บาท ส่วนผู้ป่วยรายใหม่ที่ต้องฟอกเลือดโดยมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ผู้ป่วยไม่ต้องจ่าย โดย สปสช.รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้หน่วยบริการครั้งละ 1,500 บาท
“ประเด็นนี้ปัจจุบันยังมีปัญหาเล็กน้อย หลังจากที่สมาคม รพ.เอกชน ออกหนังสือเวียนแนะนำสมาชิกสมาคม รพ.เอกชน ไม่ให้เข้าร่วมโครงการกับ สปสช. โดยระบุว่า เงินชดเชยน้อย แต่จนถึงขณะนี้ก็มี รพ.เอกชนจำนวนหนึ่งสมัครเข้าร่วมโครงการ และหน่วยบริการรัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และนอกกระทรวงสาธารณสุขก็พร้อมให้บริการเรื่องนี้ เชื่อว่า จะรองรับบริการนี้ได้แน่นอน”นพ.ประทีป กล่าว
นพ.ประทีป กล่าวด้วยว่า วันที่ 17 กันยายนนี้ กระทรวงสาธารณสุข สปสช.และมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย จะมีการหารือถึงการเตรียมความพร้อมหน่วยบริการสำหรับบริการฟอกเลือดดังกล่าว เพื่อให้ผู้ป่วยที่ยังฟอกเลือดอยู่ในปัจจุบัน และผู้ป่วยรายใหม่ที่จำเป็นต้องฟอกเลือด เข้าถึงบริการได้มากที่สุด โดยเบื้องต้นมูลนิธิโรคไตฯจะเข้าไปบริหารจัดการเครื่องฟอกไตที่มีอยู่ทั่วประเทศ ให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น เพิ่มจำนวนครั้งมากกว่าเดิม คาดว่าภายใน 3-6 เดือนจะครอบคลุมทั่วประเทศ
ด้าน นายสุบิล นกสกุล ประธานชมรมเพื่อนโรคไต กล่าวว่า การประชุมชี้แจงในวันนี้ จะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการชมรมเพื่อนโรคไต เพื่อชี้แจงการใช้บริการกับสมาชิกและผู้ป่วยโรคไตในต่างจังหวัด ขณะเดียวกัน ก็จะร่วมผลักดันและส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยโรคไตในระดับนโยบายของรัฐ ซึ่งการโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์บัตรทอง จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ที่ผ่านมาชมรมเพื่อนโรคไตได้มีส่วนร่วมขยายสิทธิประโยชน์และให้ผู้ป่วยได้ร่วมกลุ่มกันในลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อน ขณะนี้มีเครือข่ายผู้ป่วยโรคไต 20 เครือข่าย และจะขยายให้มีทั่วประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นเครือข่ายมิตรภาพบำบัดเพื่อนช่วยเพื่อน และการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยโรคไตต่อไป
