สปสช.ชี้ สถานพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือฟอกเลือดในราคาที่ สปสช.กำหนด เตรียมรับย้ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาลที่ไม่เข้าร่วม เลือกรพ.ใหม่ 13 ก.ย.นี้ พร้อมให้บริการฟอกเลือดผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายได้ 1 ต.ค.นี้ แน่นอน พร้อมยันราคา 1,500 บาท เหมาะสม ด้านบอร์ด สปสช.ประณามหนังสือสมาคมโรงพยาบาลเอกชนว่าไม่เหมาะสม ชี้ มีสิทธิผิด พ.ร.บ.ฮั้ว เหตุสุมหัวกดดันให้เพิ่มราคา ระบุ ในต่างประเทศมีกฎหมายเอาผิดถึงขั้นติดคุกได้
วันนี้ (12 ก.ย.) นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้สถานพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ตอบรับเข้าร่วมให้บริการฟอกเลือดผู้ป่วยบัตรทองรายเก่าในราคาที่ สปสช.กำหนด และใน กทม.ยังมีคิวฟอกเลือดว่าง พร้อมรับย้ายผู้ป่วยจาก รพ.อื่นที่ไม่พร้อมได้ทันทีกว่า 200 ราย โดยหลายแห่งพร้อมลงทุนเพิ่มเติมรองรับผู้ป่วยได้อีก 500 ราย ในต้นปีหน้า
นพ.ประทีป กล่าวต่อว่า ราคาค่าฟอกเลือดที่ สปสช.กำหนดให้ครั้งละ 1,500 บาท เป็นราคาที่ได้จากรายงานการศึกษาวิจัยของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ร่วมกับสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2548 ที่ราคาต้นทุนต่อการฟอกเลือดหนึ่งครั้งอยู่ที่ 1,400-1,534 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยมากน้อยในแต่ละ รพ.ซึ่งสอดคล้องกับที่ สปสช.ศึกษาใน 3 จังหวัดนำร่อง เมื่อปี 2549-2550 โดยเป็นราคาเดียวกับที่ประกันสังคมจ่ายให้ รพ. แต่ต่ำกว่าที่กรมบัญชีกลางจ่ายในกรณีสวัสดิการข้าราชการ
“ราคา 1,500 บาทต่อการฟอกเลือด 1 ครั้ง ที่ สปสช.กำหนดนั้น เป็นราคาที่ผู้ป่วยพอจะร่วมจ่ายได้ รพ.พอมีกำไร และไม่เป็นภาระต่องบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนมากเกินไป ซึ่ง สปสช.ได้รับการตอบรับจากสถานพยาบาลเอกชนพร้อมเข้าร่วมให้บริการเป็นส่วนใหญ่ มี รพ.บางแห่งที่ลังเลใจขอเลื่อนการตัดสินใจเข้าร่วมออกไปก่อน หลังได้รับหนังสือจากสมาคม รพ.เอกชนที่แนะนำไม่ให้เข้าร่วมบริการฟอกเลือดกับ สปสช.ทั้งนี้ สปสช.ได้นัดผู้ป่วยโรคไตในกรุงเทพฯเข้าร่วมประชุม เพื่อชี้แจงและเลือก รพ.ใหม่ ในวันที่ 13 กันยายนนี้ สำหรับผู้ป่วยในต่างจังหวัด สปสช.เขตจะได้นัดประชุมชี้แจงต่อไป เพื่อให้สามารถบริการผู้ป่วยไตวายรายเก่า ได้ภายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ พร้อมกันทั่วประเทศ”นพ.ประทีป กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานนั้น ได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กรณีที่สมาคมโรงพยาบาลเอกชนมีหนังสือแนะนำ รพ.สมาชิก ไม่ให้เข้าร่วมให้บริการฟอกเลือดกับ สปสช.โดยอ้างว่าจะทำให้เสียราคาจากที่เคยได้รับ 2,000 บาทต่อครั้ง จากสวัสดิการข้าราชการ
“การชักจูงให้รวมหัวกดดันให้เพิ่มราคาค่าฟอกเลือดของสมาคมโรงพยาบาลเอกชนแบบนี้ ในต่างประเทศมีกฎหมายเอาผิดถึงขั้นติดคุกได้” กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอาวุโสท่านหนึ่งพูดในที่ประชุม
ทั้งนี้ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีมติ 4 ข้อ คือ 1.คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของสมาคมโรงพยาบาลเอกชนที่ออกหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นสมาชิกสมาคม ไม่ให้เซ็นสัญญาให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายกับ สปสช.และขอประณามว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร เนื่องจากเป็นการชักจูงและกดดัน 2.มอบ สปสช.ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนและหน่วยบริการเข้าใจถึงหลักเกณฑ์การให้บริการล้างไต 3.มอบ สปสช. ประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลที่ให้ความร่วมมือดีมาตลอดเพื่อขยายบริการล้างไตไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมมือต่อไปได้ โดยเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลเอกชนมีความอิสระในการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ตามความพร้อม 4.มอบ สปสช.ศึกษาประเด็นตามกฎหมาย โดยพิจารณาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยและในภาพรวม จากหนังสือของสมาคม รพ.เอกชนนี้
วันนี้ (12 ก.ย.) นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้สถานพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ตอบรับเข้าร่วมให้บริการฟอกเลือดผู้ป่วยบัตรทองรายเก่าในราคาที่ สปสช.กำหนด และใน กทม.ยังมีคิวฟอกเลือดว่าง พร้อมรับย้ายผู้ป่วยจาก รพ.อื่นที่ไม่พร้อมได้ทันทีกว่า 200 ราย โดยหลายแห่งพร้อมลงทุนเพิ่มเติมรองรับผู้ป่วยได้อีก 500 ราย ในต้นปีหน้า
นพ.ประทีป กล่าวต่อว่า ราคาค่าฟอกเลือดที่ สปสช.กำหนดให้ครั้งละ 1,500 บาท เป็นราคาที่ได้จากรายงานการศึกษาวิจัยของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ร่วมกับสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2548 ที่ราคาต้นทุนต่อการฟอกเลือดหนึ่งครั้งอยู่ที่ 1,400-1,534 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยมากน้อยในแต่ละ รพ.ซึ่งสอดคล้องกับที่ สปสช.ศึกษาใน 3 จังหวัดนำร่อง เมื่อปี 2549-2550 โดยเป็นราคาเดียวกับที่ประกันสังคมจ่ายให้ รพ. แต่ต่ำกว่าที่กรมบัญชีกลางจ่ายในกรณีสวัสดิการข้าราชการ
“ราคา 1,500 บาทต่อการฟอกเลือด 1 ครั้ง ที่ สปสช.กำหนดนั้น เป็นราคาที่ผู้ป่วยพอจะร่วมจ่ายได้ รพ.พอมีกำไร และไม่เป็นภาระต่องบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนมากเกินไป ซึ่ง สปสช.ได้รับการตอบรับจากสถานพยาบาลเอกชนพร้อมเข้าร่วมให้บริการเป็นส่วนใหญ่ มี รพ.บางแห่งที่ลังเลใจขอเลื่อนการตัดสินใจเข้าร่วมออกไปก่อน หลังได้รับหนังสือจากสมาคม รพ.เอกชนที่แนะนำไม่ให้เข้าร่วมบริการฟอกเลือดกับ สปสช.ทั้งนี้ สปสช.ได้นัดผู้ป่วยโรคไตในกรุงเทพฯเข้าร่วมประชุม เพื่อชี้แจงและเลือก รพ.ใหม่ ในวันที่ 13 กันยายนนี้ สำหรับผู้ป่วยในต่างจังหวัด สปสช.เขตจะได้นัดประชุมชี้แจงต่อไป เพื่อให้สามารถบริการผู้ป่วยไตวายรายเก่า ได้ภายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ พร้อมกันทั่วประเทศ”นพ.ประทีป กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานนั้น ได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กรณีที่สมาคมโรงพยาบาลเอกชนมีหนังสือแนะนำ รพ.สมาชิก ไม่ให้เข้าร่วมให้บริการฟอกเลือดกับ สปสช.โดยอ้างว่าจะทำให้เสียราคาจากที่เคยได้รับ 2,000 บาทต่อครั้ง จากสวัสดิการข้าราชการ
“การชักจูงให้รวมหัวกดดันให้เพิ่มราคาค่าฟอกเลือดของสมาคมโรงพยาบาลเอกชนแบบนี้ ในต่างประเทศมีกฎหมายเอาผิดถึงขั้นติดคุกได้” กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอาวุโสท่านหนึ่งพูดในที่ประชุม
ทั้งนี้ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีมติ 4 ข้อ คือ 1.คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของสมาคมโรงพยาบาลเอกชนที่ออกหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นสมาชิกสมาคม ไม่ให้เซ็นสัญญาให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายกับ สปสช.และขอประณามว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร เนื่องจากเป็นการชักจูงและกดดัน 2.มอบ สปสช.ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนและหน่วยบริการเข้าใจถึงหลักเกณฑ์การให้บริการล้างไต 3.มอบ สปสช. ประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลที่ให้ความร่วมมือดีมาตลอดเพื่อขยายบริการล้างไตไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมมือต่อไปได้ โดยเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลเอกชนมีความอิสระในการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ตามความพร้อม 4.มอบ สปสช.ศึกษาประเด็นตามกฎหมาย โดยพิจารณาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยและในภาพรวม จากหนังสือของสมาคม รพ.เอกชนนี้
