ทุกวันนี้คนในสังคมให้ความสนใจและพุ่งเป้าไปยังปัญหาเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของกลุ่มเยาวชน ที่หลายฝ่ายกำลังควานหาทางแก้ไข แต่จะเกาตรงที่คันหรือไม่นั้นก็ต้องเฝ้ารอกันต่อไป... ความจริงแล้วนอกจากกลุ่มเยาวชน วัยรุ่น ด้านกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ที่อยู่หลังวัยเจริญพันธุ์ หรือที่เรียกว่า “ผู้ที่เข้าสู่ช่วงของวัยทอง” ซึ่งอายุล่วงเลยเกินกว่า 49 ปี ก็ประสบกับปัญหาเรื่องทางเพศ และเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสนใจไม่แพ้กัน
บทความวิจัยเรื่อง ‘เพศสัมพันธ์หลังวัยเจริญพันธุ์ : การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติหรือตามสังคม’ ผลงานของ ศ.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ให้ความเห็นในเรื่องปัญหาทางเพศของผู้ใหญ่ว่า จริงๆ แล้วปัญหาเรื่องนี้เกิดขึ้นในสังคมมาก ทั้งในเรื่องของการที่กลุ่มเหล่านี้ยังมีความต้องการทางเพศอยู่แต่ไม่สามารถมีได้ หรือคำถามในเรื่องที่ว่า เมื่อถึงวัยนี้ถึงเวลาหรือยังที่จะหยุดการมีเพศสัมพันธ์
คำถามเหล่านี้ ตลอดที่ผ่านมายังไม่ได้มีการศึกษาเพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริง ดังนั้นจึงจำเป็นที่ทำให้ต้องหันกลับมาให้ความสนใจ เนื่องจากประชากรกลุ่มนี้นับวันยิ่งมากขึ้น ซึ่งเคลื่อนตัวมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นจนก้าวมาถึงวัยสูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้าใจของสังคมที่มักมีค่านิยมผิดๆ ว่า เมื่อสูงอายุแล้วเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรหมกมุ่น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งปกติที่สามารถมีได้
ส่วนเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดเพศสัมพันธ์หลังวัยเจริญพันธุ์เกิดขึ้นนั้น ศ.อภิชาติอธิบายว่า ปัจจัยที่สำคัญคือคนไม่ยอมแก่ ซึ่งหากพูดถึงคู่สมรสที่อยู่กินกันมานานเมื่อเข้าสู่วัยหลังการเจริญพันธุ์ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวในเรื่องเพศต่อกัน อาจจะเป็นเพราะคิดว่าแก่ตัวกันแล้วไม่อยากจะมีเรื่องเช่นนี้ แต่ความจริงนั้นฝ่ายชายยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฝ่ายหญิงเมื่ออายุ 40 ปี ขึ้นไปก็จะมีความต้องการทางเพศหลงเหลืออยู่น้อยมาก ทำให้ฝ่ายชายต้องหาทางไประบายอารมณ์ที่อื่นโดยการหาซื้อบริการทางเพศนอกบ้าน หญิงขายบริการ หรือกระทั่งมีเมียน้อย ซึ่งตรงนี้จะเป็นอันตรายอย่างมาก ดังนั้นต้องมีการให้ความสำคัญเท่ากัน อยากให้สังคมมองว่าวัยทองยังเป็นวัยที่สดใสและเป็นการสร้างค่านิยมใหม่ให้เกิดขึ้น
“หากเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นภายนอกครอบครัวถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะคนอายุมากนั้นจะขาดการป้องกันและส่วนใหญ่จะปฏิเสธการใช้ถุงยางอนามัย เพราะพฤติกรรมการใช้จะไม่มีประสิทธิภาพเท่าวัยหนุ่มสาว ส่วนหนึ่งมากจากอวัยวะเพศชายไม่แข็งตัวเต็มที่ทำให้ไม่สามารถใช้ถุงยางอนามัยได้ เมื่อฝืนใช้แล้วก็เกิดอาการหงุดหงิด ไม่สบอารมณ์จึงหลีกเลี่ยงที่จะใช้ ซึ่งเสี่ยงอย่างมากหากเพศสัมพันธ์นั้นเกิดขึ้นกับคนนอกครอบครัว อย่างหญิงขายบริการ” ศ.อภิชาติ ให้ภาพ
ศ.อภิชาติบอกอีกว่า เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้จะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมาก จนอาจจะกลายเป็นผลเสีย เพราะตอนนี้เป็นที่รู้กันว่าโรคเอดส์เป็นปัญหาหนัก ดังนั้นความสัมพันธ์ในครอบครัวของคนตั้งแต่วัย 40 ปีขึ้นไปนั้นต้องดูแลให้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย สามีจะออกไปไหนก็ไม่เป็นไร หากครอบครัวมีค่านิยมเช่นนี้จะเป็นผลเสียอย่างมาก เพราะการที่ภรรยาไม่รู้เลยว่าการที่สามีออกนอกบ้านไปนั้น อาจจะนำโรคร้ายกลับมาให้ภรรยาก็ได้ ดังนั้น จึงอยากให้ภายในครอบครัวร่วมกันปรับปรุงตัวเอง ต่างฝ่ายต่างต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน
“คำพูดที่ว่าไม่มีอะไรแก่เกินวัย หลายคนจึงมองว่าการที่ผู้ใหญ่คิดเรื่องเช่นนี้เป็นการหมกมุ่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ลูกหลานรับไม่ได้ และเป็นเรื่องที่น่าอายเกินกว่าจะพูด แต่ต่อไปเชื่อว่าแนวคิดดังกล่าวน่าจะเปลี่ยนไป เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีมากขึ้น อีกทั้งความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ การศัลยกรรม จะเป็นส่วนช่วยอย่างมากในการช่วยให้ความต้องการของกลุ่มคนเหล่านี้ยังคงอยู่ และกลายเป็นเรื่องปกติไป” ศ.อภิชาติ ขยายความ
เมื่อมาถึงตรงนี้ ศ.อภิชาติ ฝากทิ้งท้ายว่า แน่นอนว่าความต้องการของผู้ใหญ่คงไม่มากเท่ากับวัยรุ่น แต่ความต้องการที่น้อยลงนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นมาจากด้านสังคม เพราะความต้องการจะยังคงมีอยู่กับคนทุกคน แต่อยู่ที่ว่าภาระ หน้าที่การงานที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบนั้นเองจะเป็นตัวบั่นทอนให้ความต้องการในการหาความสุขให้กับตนเองและครอบครัวมีน้อยลง หากเป็นเช่นนั้นการดูแลสุขภาพทางเพศควรเป็นเรื่องที่ต้องหันมาใส่ใจ
ดังนั้นจึงอยู่ที่ว่าการสื่อสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงสูงอายุจะสื่อสารกันอย่างไร เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นกังวลเรื่องของอนาคต อยากให้ดูแลซึ่งกันและกัน ฝ่ายหญิงเองอาจจะตัดพ้อว่าตนนั้นไม่สวย เหี่ยวย่นแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งคู่ต้องให้กำลังใจกัน เพื่อจะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ของผู้ที่อยู่หลังวัยเจริญพันธ์ที่ดี ถูกวิธี และหลีกเลี่ยงการทิ้งครอบครัวไปหาความสุขนอกบ้านได้ดีที่สุด