ขณะที่ผู้ใหญ่(อันไม่ระบุว่ากลุ่มใด) เป็นห่วงเรื่องเด็กล่าแต้ม การมีเพศสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนแบบไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอที่กำลังระบาด ประกอบกับช่วงอายุของเด็กที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ก็มีตัวเลขลดลงทุกทีเห็นจากพาดหัวข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่ว่าเด็กม.ต้นก็มีเซ็กซ์กันเสียแล้ว ผู้เกี่ยวข้องทางตรงคือพ่อแม่ก็คงเสียวๆ กันอยู่ว่าจะจ๊ะเอ๋กับลูกเราเมื่อใด และจะทำอย่างไรเมื่อสถานการณ์กู่ไม่กับกลับไปแล้ว
ขณะที่โรงเรียนเองก็ดูจะกลุ้มไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม “สาวอาชีวะ”
“ความจริงคือเหตุการณ์ไม่เคยเปลี่ยนที่ว่ามีเด็กหรือเยาวชนตั้งท้องในช่วงวัยที่ไม่พร้อม เป็นแม่ตั้งแต่เป็นนักเรียนซึ่งมีมานานกว่า 50 ปีที่แล้วจนถึงเดี๋ยวนี้ และทางออกที่ผู้ใหญ่เป็นคนเลือกให้เด็กมีไม่กี่ทาง ไม่แต่งงานก็ให้เลิกคบกัน แต่เด็กบางคู่เขาก็เลือกหนีตามกันไป บางคนหาทางออกไม่เจอก็เลือกทำแท้งเถื่อนเพราะไปรู้จะหันหน้าไปหาใครที่สามารถเล่าเรื่องแบบนี้ได้”
คำบอกเล่าจากประสบการณ์ทำงานให้คำปรึกษาปัญหาทางเพศของรองผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ อย่างสมวงศ์ อุไรวัฒนา ทำให้เห็นว่าปัญหาเรื่องความเข้าในเรื่องเพศของไทยยังเป็นหัวข้อที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ และสะท้อนว่าไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้นที่ขาดความเข้าใจเรื่องเพศที่ถูกต้อง ผู้ใหญ่เองก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการหาทางออกให้กับลูกหลานเมื่อเกิดปัญหาเลยเถิด หรือกระดากอายที่จะพูดเรื่องเพศกับผู้ด้อยประสบการณ์กว่าทั้งที่จริงเป็นเรื่องสำคัญ
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าว คงหนีไม่พ้นสถานศึกษาเพราะเป็นสถานที่ที่บรรดาวัยใสวัยซนมาอยู่รวมกัน และคนที่จะทำงานสื่อสารเรื่องเพศกับเด็กได้ดีก็คือครู
ในฐานะผู้เกี่ยวข้องและคลุกคลีอยู่กับนักเรียนอาชีวะมานาน อ.ประทีป จุฬาเลิศ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยการอาชีพบางปะกง ให้ภาพของนักเรียนในดูแลว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เด็กสายอาชีพดูมีปัญหารุนแรงทั้งการวิวาท การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์นั้น ปัจจัยอาจจะมาจากเด็กกลุ่มนี้ต้องทำงานทั้งๆ ที่เรียนอยู่ หรือสร้างความพร้อมที่จะไปประกอบอาชีพได้ การแต่งเนื้อแต่งตัวจึงดูเป็นผู้ใหญ่ ผู้หญิงพยายามแต่งหน้าจึงเป็นธรรมดาที่จะมีเรื่องเพศตรงข้ามมาข้องแวะเร็วกว่าเด็กม.ปลายทั่วไป
การสอนเพศศึกษาให้กับเด็กอาชีวะจึงจำเป็นจะต้องเปิดเผยเพื่อลดปัญหาการตั้งครรภ์ หรือการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ เพราะในเมื่อห้ามไม่ได้ ในฐานะผู้ใหญ่ก็ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้อง ปัญหาท้องวัยเรียนของการอาชีพบางปะกงในระยะเวลา 9 ปีหลังจึงมีตัวเลขลดลง
“ก่อนหน้านี้มีนักเรียนท้องแล้วต้องลาออกจากโรงเรียนปีละ 6-7 คน แต่หลังจากมีการให้ความรู้แบบเปิดเผยและรอบด้านทำให้ในปี 2549-2550 มีนักเรียนท้องเหลือ 3 คนซึ่งทุกคนได้รับอนุญาตให้เรียนจนกว่าจะคลอดได้โดยไม่ต้องพักการเรียน แม้ว่าจะยังไม่สามารถทำให้ลดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ถือว่าเป็นผลที่น่าพอใจ”
สำหรับกลวิธีการสอนเพศศึกษากับนักเรียนการอาชีพนั้น รองผอ.ฝ่ายวิชาการ อธิบายว่าโรงเรียนจะบรรจุวิชาเพศศึกษาเข้าไปในวิชาบังคับ โดยบางห้องต้องเพิ่มเป็นวิชาพิเศษ และเน้นภาคปฏิบัติมากกว่านั่งท่องจากตำรา เช่น ฝึกให้เด็กรู้จักเครื่องมือป้องกันให้มากที่สุด โดยแบ่งกลุ่มให้นักเรียนไปซื้อถุงยางอนามัย ยาคุมกำเนิด และเครื่องมืออื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การนำหลักสูตรเช่นนี้เข้ามาใช้ในโรงเรียนจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองด้วยการให้ความรู้ผ่านกิจกรรมพบผู้ปกครองทุกอาทิตย์ เพื่ออธิบายถึงเหตุผลซึ่งเท่ากับสอนพ่อแม่ด้วย
“ตอนแรกมีแรงเสียดทานมาก พ่อแม่มาประชุมมากที่สุดไม่เกิน 30% คำถามที่พบบ่อยจากพ่อแม่คือ ทำไมต้องสอน ลูกฉันไม่เป็นหรอก แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นตอนนี้ก็เบาบางลง ดังนั้นถ้าจะให้ความรู้เรื่องเพศเด็ก ต้องให้พ่อแม่ด้วย” อ.ประทีปแนะนำ
นอกจากนี้กิจกรรมหนึ่งที่ทำให้คุณครูผู้นี้เข้าอกเข้าใจเด็กนักเรียนเป็นพิเศษนั่นคือ การแอบเข้าไปในห้องน้ำนักเรียนหญิงหลังพักเที่ยงและเลิกเรียน เพื่อนั่งฟังบทสนทนาเรื่องเพศ หรือเรื่องอื่นๆ เป็นข้อมูลเชิงลึกที่บางครั้งการตั้งคำถามตรงๆ จะไม่ได้ยินคำตอบแบบนี้
คำถามถัดมาก็คือ เมื่อเด็กเกิดพลาดพลั้งท้องขึ้นมา ผู้ใหญ่จะทำอย่างไรได้บ้าง นอกจากจับแต่งงานหรือจับแยก แท้จริงแล้วมีหนทางที่ดีกว่านี้หรือไม่?
อ.ประทีปให้คำตอบในเรื่องนี้ว่า ปกติจะใช้วิธีเข้าไปช่วยเหลือจัดการทั้งอารมณ์ของพ่อแม่ และการเข้าไปช่วยวางแผนการเรียนให้นักเรียน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เด็กอยากเรียนหรือสอบจนกว่าจะคลอด รวมทั้งกรณีที่บางคนอยากพักการเรียนไปคลอดก่อนจะมาเรียนหลังจากนั้น
“กรณีที่เราพบว่ามีนักเรียนท้องต้องเข้าใจเขาว่าไม่มีใครอยากท้องขณะที่เรียนอยู่ แต่เมื่อท้องแล้วผู้ใหญ่จะยอมรับ มีทางเลือกให้เขาแค่ไหน เราต้องเตรียมแผนไว้ เราไม่ได้สนับสนุนให้เขาท้องแต่ก็ต้องมีหนทางมากกว่าหนึ่ง” รองผอ.วิชาการให้ความเห็น
ด้านสมวงศ์ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า การแต่งงานไม่ใช่คำตอบสำหรับปัญหาท้อง เพราะเด็กมีหลายสภาพปัญหา ดังนั้นต้องมองว่าเรามีทางให้เด็กแค่ไหน โดยต้องให้ข้อมูล ให้เหตุผลอย่างรอบด้าน และประสานงานหาหนทางที่ปลอดภัยให้กับชีวิตเขา เพราะชีวิตของคนแต่ละคน ณ ขณะนั้นๆ สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ซึ่งสุดท้ายเขาจะเลือกทางออกให้ชีวิตตัวเองอย่างไร ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมที่จะคุยกับครู หรือพ่อแม่ด้วย
ขณะที่เสียงหนึ่งจากเยาวชนผู้คลุกคลีกับการทำงานด้านเพศศึกษาอย่าง วาสนา พรมเสนา ประธานกลุ่มเยาวชนกลุ่มตะขบป่า จ.นครราชสีมา บอกว่า อยากให้ผู้ใหญ่หรือใครๆ มองเรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ และยอมรับในผลของการกระทำเหล่านั้นว่าเป็นธรรมชาติ เมื่อเด็กคนหนึ่งตั้งท้อง การตั้งคำถามหรือมองอย่างสงสัยแทนการเข้าใจนั้น เป็นการซ้ำทับความผิด เด็กก็ไม่กล้าปรึกษา สุดท้ายเขาก็จะพยายามหาทางออกโดยวิธีผิดๆ