ผงะ! งานวิจัยวัยรุ่นใต้มีเซ็กซ์ครั้งแรกเกือบ 70% ไม่ใส่ถุง โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าใช้เวลารู้จักกันไม่ถึงวันก็มีเซ็กซ์ ห่วงเสี่ยงติดโรคเอดส์ ขณะที่หญิง 90% ท้องเลือกทำแท้ง
นายตั้ม บุญรอด นักวิชาการสาธารณสุข 4 ประจำสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเจาะไอร้อง นราธิวาส กล่าวว่า ได้นำเสนอผลงานวิจัยในงานประชุมวิชาการสาธารณสุขประจำปี 2551 เรื่องพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา อ.เมือง ของจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคใต้ สำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่นอายุ 15-25 ปี ที่จำนวน 840 คน ตั้งแต่เดือน ม.ค.2550-ก.พ.2551 พบว่า ประเด็นที่น่าตกใจและเป็นห่วงอย่างมาก คือ การไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเซ็กซ์ครั้งแรกมี 66.9% ส่วน เหตุผลที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก คือ มั่นใจในตนเองและคู่นอนว่าปลอดภัย รองลงมาคือ รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ไม่สนุก ขี้เกียจ ยุ่งยาก และไม่มีความจำเป็นต้องใช้
นักวิชาการสาธารณสุข กล่าวต่อว่า การมีเซ็กซ์ครั้งแรกกับคนแปลกหน้าวัยรุ่นจะไม่ใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดถึง 75% แต่ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะปัจจัยใด ถึงไว้ใจคนแปลกหน้ามากขนาดนี้ รองลงมาคือ เพื่อน คนรัก และผู้ขายบริการ และวัยที่มีเซ็กซ์ครั้งแรก และไม่ใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุด คือ 19-23 ปี รองลงมา คือ 13-15 ปี, 16-18 ปี และ 7-12 ปี ดังนั้น จากข้อมูลทำให้เกรงว่าวัยรุ่นกลุ่มตัวอย่างมีอัตราเสี่ยงต่อการติดโรคจากเพศสัมพันธ์สูงมาก โดยเฉพาะโรคเอดส์
“วัยรุ่นเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว 34.9% ในจำนวนนี้ 42% มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 13-15ปี รองลงมา 40.3% มีตอนอายุ 16-18 ปี และ9.2% เมื่อายุ 7-12 ปี และ 8.5% มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 19-25 ปี ส่วนบุคคลที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยกันครั้งแรก 78.2% เป็นคู่รัก รองลงมา 10.9% เป็นคนแปลกหน้า และเพื่อน 6.8% ส่วนผู้ขายบริการทางเพศมีเพียง 3.8% และกิ๊ก 0.3% ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างที่มีเซ็กซ์ครั้งแรกกับคนแปลกหน้ากว่า 50% ใช้เวลาสานความสัมพันธ์ตั้งแต่รู้จักไปจนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกไม่ถึง 1 วัน และในจำนวนนี้ไม่สวมโดยสถานที่ที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกคือ บ้านที่พัก ตามมาด้วยโรงแรม โรงเรียน สวนสาธารณะ และสถานบริการทางเพศ”นายตั้ม กล่าว
นายตั้ม กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เหตุผลที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกลุ่มตัวอย่าง 46.4% เห็นว่า อยากลอง อยากมีประสบการณ์ 39.6% อยากมีเพราะความรัก ส่วน 5.1% ถูกบังคับและข่มขืน 4.8% ต้องการเพราะอยากผูกมัดฝ่ายตรงข้าม 3.1% ใช้หนี้การพนัน และ1% ให้เหตุผลว่าต้องการเพื่อแลกกับเงินหรือผลประโยชน์ ทั้งนี้มีเพียง 42% เท่านั้นที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในวันสำคัญ โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นวันวาเลนไทน์ วันเกิด วันปีใหม่ วันลอยกระทงและวันสงกรานต์
นายตั้ม กล่าวด้วยว่า เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกแล้วกลับไปมีเพศสัมพันธ์ซ้ำอีกถึง 85.7% และส่วนใหญ่กว่า 47.8% เป็นคนเดิมที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก แต่ 37.9% มีกับคนเดิมและคนใหม่ ส่วน 14.3% มีกับคนใหม่ เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งใหม่ถัดจากครั้งแรกแล้วมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพียง 14.3% เท่านั้น ที่เหลือกว่า 85.7% รับว่า ใช้บางครั้งหรือไม่ใช้เลย ซึ่งเหตุผลที่ไม่ใช้ก็ยังคงเดิม คือ มั่นใจในคู่ของตนเอง นอกจากนี้จำนวนคู่นอนในปัจจุบันส่วนใหญ่ถึง 62.6% มีคู่นอน 1 คนแต่ที่น่าเป็นห่วงคือ 36.6% มีมากกว่า 1 คน ส่วนอีก 0.8% ไม่มีคู่นอนเลย
นายตั้ม กล่าวอีกว่า เมื่อสอบถามถึงอัตราการป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของกลุ่มตัวอย่างพบว่า 14.3% เคยป่วย นอกจากนี้ อัตราการตั้งครรภ์และนักศึกษาหญิงกว่า 43.1%หรือ 31 คนจากนักศึกษาหญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วทั้งสิ้น 72 คน และแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ด้วยการทำแท้งถึง 90.3% มีเพียง 9.7% ที่ปล่อยให้ตั้งครรภ์ต่อไป สำหรับข้อเสนอแนะคืออยากให้ทุกฝ่ายร่วมมือในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นด้วย โดยเฉพาะพ่อแม่ และครูควรปลูกฝังทัศนคติที่เหมาะสมต่อการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการสอนเพศศึกษาให้เหมาะสมกับเพศ วัย ระดับการศึกษาและสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการติดตั้งตู้ถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญในสถานบริการที่วัยรุ่นนิยมไป และสังคม ภาครัฐควรตรวจสอบและใช้มาตรการเข้มงวดในการนำเสนอสื่อต่างๆ ที่ยั่วยุเรื่องเพศ
นายตั้ม บุญรอด นักวิชาการสาธารณสุข 4 ประจำสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเจาะไอร้อง นราธิวาส กล่าวว่า ได้นำเสนอผลงานวิจัยในงานประชุมวิชาการสาธารณสุขประจำปี 2551 เรื่องพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา อ.เมือง ของจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคใต้ สำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่นอายุ 15-25 ปี ที่จำนวน 840 คน ตั้งแต่เดือน ม.ค.2550-ก.พ.2551 พบว่า ประเด็นที่น่าตกใจและเป็นห่วงอย่างมาก คือ การไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเซ็กซ์ครั้งแรกมี 66.9% ส่วน เหตุผลที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก คือ มั่นใจในตนเองและคู่นอนว่าปลอดภัย รองลงมาคือ รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ไม่สนุก ขี้เกียจ ยุ่งยาก และไม่มีความจำเป็นต้องใช้
นักวิชาการสาธารณสุข กล่าวต่อว่า การมีเซ็กซ์ครั้งแรกกับคนแปลกหน้าวัยรุ่นจะไม่ใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดถึง 75% แต่ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะปัจจัยใด ถึงไว้ใจคนแปลกหน้ามากขนาดนี้ รองลงมาคือ เพื่อน คนรัก และผู้ขายบริการ และวัยที่มีเซ็กซ์ครั้งแรก และไม่ใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุด คือ 19-23 ปี รองลงมา คือ 13-15 ปี, 16-18 ปี และ 7-12 ปี ดังนั้น จากข้อมูลทำให้เกรงว่าวัยรุ่นกลุ่มตัวอย่างมีอัตราเสี่ยงต่อการติดโรคจากเพศสัมพันธ์สูงมาก โดยเฉพาะโรคเอดส์
“วัยรุ่นเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว 34.9% ในจำนวนนี้ 42% มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 13-15ปี รองลงมา 40.3% มีตอนอายุ 16-18 ปี และ9.2% เมื่อายุ 7-12 ปี และ 8.5% มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 19-25 ปี ส่วนบุคคลที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยกันครั้งแรก 78.2% เป็นคู่รัก รองลงมา 10.9% เป็นคนแปลกหน้า และเพื่อน 6.8% ส่วนผู้ขายบริการทางเพศมีเพียง 3.8% และกิ๊ก 0.3% ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างที่มีเซ็กซ์ครั้งแรกกับคนแปลกหน้ากว่า 50% ใช้เวลาสานความสัมพันธ์ตั้งแต่รู้จักไปจนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกไม่ถึง 1 วัน และในจำนวนนี้ไม่สวมโดยสถานที่ที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกคือ บ้านที่พัก ตามมาด้วยโรงแรม โรงเรียน สวนสาธารณะ และสถานบริการทางเพศ”นายตั้ม กล่าว
นายตั้ม กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เหตุผลที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกลุ่มตัวอย่าง 46.4% เห็นว่า อยากลอง อยากมีประสบการณ์ 39.6% อยากมีเพราะความรัก ส่วน 5.1% ถูกบังคับและข่มขืน 4.8% ต้องการเพราะอยากผูกมัดฝ่ายตรงข้าม 3.1% ใช้หนี้การพนัน และ1% ให้เหตุผลว่าต้องการเพื่อแลกกับเงินหรือผลประโยชน์ ทั้งนี้มีเพียง 42% เท่านั้นที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในวันสำคัญ โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นวันวาเลนไทน์ วันเกิด วันปีใหม่ วันลอยกระทงและวันสงกรานต์
นายตั้ม กล่าวด้วยว่า เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกแล้วกลับไปมีเพศสัมพันธ์ซ้ำอีกถึง 85.7% และส่วนใหญ่กว่า 47.8% เป็นคนเดิมที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก แต่ 37.9% มีกับคนเดิมและคนใหม่ ส่วน 14.3% มีกับคนใหม่ เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งใหม่ถัดจากครั้งแรกแล้วมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพียง 14.3% เท่านั้น ที่เหลือกว่า 85.7% รับว่า ใช้บางครั้งหรือไม่ใช้เลย ซึ่งเหตุผลที่ไม่ใช้ก็ยังคงเดิม คือ มั่นใจในคู่ของตนเอง นอกจากนี้จำนวนคู่นอนในปัจจุบันส่วนใหญ่ถึง 62.6% มีคู่นอน 1 คนแต่ที่น่าเป็นห่วงคือ 36.6% มีมากกว่า 1 คน ส่วนอีก 0.8% ไม่มีคู่นอนเลย
นายตั้ม กล่าวอีกว่า เมื่อสอบถามถึงอัตราการป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของกลุ่มตัวอย่างพบว่า 14.3% เคยป่วย นอกจากนี้ อัตราการตั้งครรภ์และนักศึกษาหญิงกว่า 43.1%หรือ 31 คนจากนักศึกษาหญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วทั้งสิ้น 72 คน และแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ด้วยการทำแท้งถึง 90.3% มีเพียง 9.7% ที่ปล่อยให้ตั้งครรภ์ต่อไป สำหรับข้อเสนอแนะคืออยากให้ทุกฝ่ายร่วมมือในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นด้วย โดยเฉพาะพ่อแม่ และครูควรปลูกฝังทัศนคติที่เหมาะสมต่อการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการสอนเพศศึกษาให้เหมาะสมกับเพศ วัย ระดับการศึกษาและสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการติดตั้งตู้ถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญในสถานบริการที่วัยรุ่นนิยมไป และสังคม ภาครัฐควรตรวจสอบและใช้มาตรการเข้มงวดในการนำเสนอสื่อต่างๆ ที่ยั่วยุเรื่องเพศ