กระทรวงสาธารณสุข เผยวัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นตั้งแต่อายุ 13 ปี ส่วนใหญ่เป็นแฟนหรือคู่รัก โดยมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยต่ำ ทำให้เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เร่งระดมความร่วมมือภาครัฐและเอกชน ปรับค่านิยมวัยรุ่นไทยรักตนเองและรู้เท่าทันโรคเอดส์
วันนี้ (23 พ.ค.) ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กทม. นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์สุพร เกิดสว่าง นายกสมาคมพัฒนาอนามัยแห่งประเทศไทย เปิดงาน “รวมพลัง...วัยทีน รู้ทันเอดส์” จัดโดยเครือข่ายทำงานด้านเอดส์และสุขภาพ 10 องค์กร ร่วมกับโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 20 แห่ง เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคเอดส์และอนามัยการเจริญพันธุ์ และส่งเสริมให้วัยรุ่นรักในคุณค่าของตนเอง มีความรับผิดชอบ และรู้จักหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
นายไชยา กล่าวว่า จากรายงานการเฝ้าระวังโรคเอดส์ ตั้งแต่กันยายน 2527-30 เมษายน 2551 พบผู้ป่วยเอดส์สะสม 331,336 ราย เสียชีวิต 91,142 ราย ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยมีอายุระหว่าง 25-34 ปี โดยร้อยละ 84 มีสาเหตุจากเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน แสดงให้เห็นว่ามีการติดเชื้อมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งพฤติกรรมและค่านิยมเรื่องเพศของวัยรุ่นและเยาวชนไทยปัจจุบันนี้ นับวันยิ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรเร็วขึ้น และไม่ให้ความสำคัญกับการใช้ถุงยางอนามัย รวมทั้งบางคนมีคู่นอนหลายคนหรือแลกเปลี่ยนคู่นอน ทำให้ยิ่งเสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์มากขึ้น จึงต้องเร่งให้ความรู้ความเข้าใจแก่วัยรุ่นและเยาวชน เพื่อปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเสี่ยง รวมทั้งส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันการติดเชื้อเอดส์ที่ได้ผลดีที่สุด
ด้าน นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปี 2550 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้เฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอดส์ ในกลุ่มนักเรียน ม.2 จำนวน 18,802 คน พบว่า นักเรียนชายร้อยละ 3 และนักเรียนหญิงร้อยละ 2 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว อายุเฉลี่ยการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก 13 ปี ขณะที่กลุ่มนักเรียน ม.5 สำรวจ 16,104 คน พบนักเรียนชายร้อยละ 21 และนักเรียนหญิงร้อยละ 13 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว โดยส่วนใหญ่มีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือคู่รักและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สำหรับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือคู่รัก ในกลุ่ม ม.2 ชายใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 50 หญิงใช้ร้อยละ 25 ส่วนกลุ่ม ม.5 ชายใช้ร้อยละ 25 หญิงใช้ร้อยละ 20 ส่วนการใช้ถุงยางอนามัยกับหญิงขายบริการพบประมาณร้อยละ 50-60 เท่านั้น และมีแนวโน้มลดลง
ในกลุ่มนักเรียน ปวช.ปีที่ 2 จำนวน 16,692 คน พบชายมีเพศสัมพันธ์แล้วร้อยละ 40 หญิงร้อยละ 28 อายุเฉลี่ยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก 15-16 ปี โดยนักเรียนหญิงส่วนใหญ่ร้อยละ 96 มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับแฟนหรือคู่รัก ที่สำคัญพบว่าการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มนี้ต่ำมาก โดยชายใช้กับแฟนหรือคู่รัก ร้อยละ 23 ใช้กับหญิงขายบริการ ร้อยละ 63 ใช้กับคนรู้จักผิวเผิน ร้อยละ 54 และใช้กับเพศเดียวกัน ร้อยละ 50 ส่วนหญิงใช้กับแฟนหรือคู่รัก ร้อยละ 15 และใช้กับคนรู้จักผิวเผิน ร้อยละ 34
นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง วางแผนแก้ไขและป้องกันปัญหาเอดส์ในวัยรุ่นอย่างเป็นระบบ โดยพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเรื่องเอดส์และเพศศึกษาในโรงเรียนภาครัฐและเอกชน มีการอบรมครูต้นแบบ 3,000 คน ถ่ายทอดความรู้แก่เยาวชนและผู้ปกครองไปแล้ว 30,000 คน พัฒนาศักยภาพเครือข่ายแกนนำด้านการป้องกันเอดส์ในสถานศึกษา โดยอบรมเยาวชนแกนนำในสถานศึกษา 52 แห่ง และสนับสนุนงบประมาณจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ เกี่ยวการป้องกันการติดเชื้อเอดส์ในสถานศึกษา เช่น ประกวดคำขวัญ ประกวดร้องเพลง แข่งขันกีฬา จัดนิทรรศการ โต้วาที เป็นต้น โดยกระทรวงสาธารณสุขกำลังเสนอของบประมาณจากกองทุนโลก เพื่อขยายผลต่อในปี 2552–2557 ให้ครอบคลุมสถานศึกษามากขึ้น
นอกจากนี้ ยังนำร่องพัฒนาศักยภาพเครือข่ายแกนนำด้านการป้องกันเอดส์ในทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง จังหวัดปทุมธานี โดยอบรมแกนนำซึ่งเป็นผู้คุมและนักโทษ เพื่อจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่นักโทษซึ่งเป็นเยาวชนทุกเดือน พร้อมกับพัฒนาระบบการดูแลรักษาที่มีคุณภาพครอบคลุมให้กับผู้ต้องขัง ขณะนี้เตรียมขยายการดำเนินงานเพิ่มในเรือนจำในจังหวัดอื่นๆ ด้วย
สำหรับการใช้ถุงยางอนามัย ได้ส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ ราคาถูก โดยการติดตั้งเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัย และตั้งกองทุนถุงยางอนามัย ขณะนี้ได้ขยายความร่วมมือไปถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานเอกชนต่างๆ ในการลงทุนติดตั้งและดูแลเครื่อง โดยตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ติดตั้งเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยแล้วกว่า 8,000 เครื่อง ราคาแพกละ 10 บาท มี 3 ชิ้น พบว่าเป็นที่ยอมรับมาก มีผู้ใช้บริการตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ มีความพึงพอใจสูงถึงร้อยละ 85-90
วันนี้ (23 พ.ค.) ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กทม. นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์สุพร เกิดสว่าง นายกสมาคมพัฒนาอนามัยแห่งประเทศไทย เปิดงาน “รวมพลัง...วัยทีน รู้ทันเอดส์” จัดโดยเครือข่ายทำงานด้านเอดส์และสุขภาพ 10 องค์กร ร่วมกับโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 20 แห่ง เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคเอดส์และอนามัยการเจริญพันธุ์ และส่งเสริมให้วัยรุ่นรักในคุณค่าของตนเอง มีความรับผิดชอบ และรู้จักหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
นายไชยา กล่าวว่า จากรายงานการเฝ้าระวังโรคเอดส์ ตั้งแต่กันยายน 2527-30 เมษายน 2551 พบผู้ป่วยเอดส์สะสม 331,336 ราย เสียชีวิต 91,142 ราย ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยมีอายุระหว่าง 25-34 ปี โดยร้อยละ 84 มีสาเหตุจากเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน แสดงให้เห็นว่ามีการติดเชื้อมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งพฤติกรรมและค่านิยมเรื่องเพศของวัยรุ่นและเยาวชนไทยปัจจุบันนี้ นับวันยิ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรเร็วขึ้น และไม่ให้ความสำคัญกับการใช้ถุงยางอนามัย รวมทั้งบางคนมีคู่นอนหลายคนหรือแลกเปลี่ยนคู่นอน ทำให้ยิ่งเสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์มากขึ้น จึงต้องเร่งให้ความรู้ความเข้าใจแก่วัยรุ่นและเยาวชน เพื่อปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเสี่ยง รวมทั้งส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันการติดเชื้อเอดส์ที่ได้ผลดีที่สุด
ด้าน นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปี 2550 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้เฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอดส์ ในกลุ่มนักเรียน ม.2 จำนวน 18,802 คน พบว่า นักเรียนชายร้อยละ 3 และนักเรียนหญิงร้อยละ 2 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว อายุเฉลี่ยการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก 13 ปี ขณะที่กลุ่มนักเรียน ม.5 สำรวจ 16,104 คน พบนักเรียนชายร้อยละ 21 และนักเรียนหญิงร้อยละ 13 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว โดยส่วนใหญ่มีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือคู่รักและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สำหรับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือคู่รัก ในกลุ่ม ม.2 ชายใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 50 หญิงใช้ร้อยละ 25 ส่วนกลุ่ม ม.5 ชายใช้ร้อยละ 25 หญิงใช้ร้อยละ 20 ส่วนการใช้ถุงยางอนามัยกับหญิงขายบริการพบประมาณร้อยละ 50-60 เท่านั้น และมีแนวโน้มลดลง
ในกลุ่มนักเรียน ปวช.ปีที่ 2 จำนวน 16,692 คน พบชายมีเพศสัมพันธ์แล้วร้อยละ 40 หญิงร้อยละ 28 อายุเฉลี่ยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก 15-16 ปี โดยนักเรียนหญิงส่วนใหญ่ร้อยละ 96 มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับแฟนหรือคู่รัก ที่สำคัญพบว่าการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มนี้ต่ำมาก โดยชายใช้กับแฟนหรือคู่รัก ร้อยละ 23 ใช้กับหญิงขายบริการ ร้อยละ 63 ใช้กับคนรู้จักผิวเผิน ร้อยละ 54 และใช้กับเพศเดียวกัน ร้อยละ 50 ส่วนหญิงใช้กับแฟนหรือคู่รัก ร้อยละ 15 และใช้กับคนรู้จักผิวเผิน ร้อยละ 34
นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง วางแผนแก้ไขและป้องกันปัญหาเอดส์ในวัยรุ่นอย่างเป็นระบบ โดยพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเรื่องเอดส์และเพศศึกษาในโรงเรียนภาครัฐและเอกชน มีการอบรมครูต้นแบบ 3,000 คน ถ่ายทอดความรู้แก่เยาวชนและผู้ปกครองไปแล้ว 30,000 คน พัฒนาศักยภาพเครือข่ายแกนนำด้านการป้องกันเอดส์ในสถานศึกษา โดยอบรมเยาวชนแกนนำในสถานศึกษา 52 แห่ง และสนับสนุนงบประมาณจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ เกี่ยวการป้องกันการติดเชื้อเอดส์ในสถานศึกษา เช่น ประกวดคำขวัญ ประกวดร้องเพลง แข่งขันกีฬา จัดนิทรรศการ โต้วาที เป็นต้น โดยกระทรวงสาธารณสุขกำลังเสนอของบประมาณจากกองทุนโลก เพื่อขยายผลต่อในปี 2552–2557 ให้ครอบคลุมสถานศึกษามากขึ้น
นอกจากนี้ ยังนำร่องพัฒนาศักยภาพเครือข่ายแกนนำด้านการป้องกันเอดส์ในทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง จังหวัดปทุมธานี โดยอบรมแกนนำซึ่งเป็นผู้คุมและนักโทษ เพื่อจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่นักโทษซึ่งเป็นเยาวชนทุกเดือน พร้อมกับพัฒนาระบบการดูแลรักษาที่มีคุณภาพครอบคลุมให้กับผู้ต้องขัง ขณะนี้เตรียมขยายการดำเนินงานเพิ่มในเรือนจำในจังหวัดอื่นๆ ด้วย
สำหรับการใช้ถุงยางอนามัย ได้ส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ ราคาถูก โดยการติดตั้งเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัย และตั้งกองทุนถุงยางอนามัย ขณะนี้ได้ขยายความร่วมมือไปถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานเอกชนต่างๆ ในการลงทุนติดตั้งและดูแลเครื่อง โดยตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ติดตั้งเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยแล้วกว่า 8,000 เครื่อง ราคาแพกละ 10 บาท มี 3 ชิ้น พบว่าเป็นที่ยอมรับมาก มีผู้ใช้บริการตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ มีความพึงพอใจสูงถึงร้อยละ 85-90