xs
xsm
sm
md
lg

"ไชยา" แก้ตัวยังไม่เลิก CL ยามะเร็ง ผู้ป่วยอย่าวิตกจริต ลั่นไม่ตามเกมบ.ยาแน่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ไชยา” ยันไม่ได้ยกเลิกซีแอลยามะเร็ง 4 รายการ แค่สั่งทบทวนใหม่ เพราะห่วงไทยถูกยูเอสทีอาร์ตอบโต้ เลื่อนอันดับไทยจากประเทศที่ถูกจับตามองพิเศษ เป็นประเทศที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาขั้นรุนแรง เสียวมีไทยอยู่ในรายชื่อ 30 เม.ย. นี้ ระบุเครือข่ายฯ อย่าวิตกจริต ไม่ต้องกลัวไม่เข้าถึงยา ชีวิตคนก็สนใจ ผลประโยชน์ประเทศชาติก็ต้องห่วง ไม่เดินตามเกมบริษัทยาแน่

เวลา 15.00 น. วันนี้ (8 ก.พ.)นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สธ. กล่าวกับกลุ่มเครือข่ายผู้ป่วยที่เดินทางมาเข้าพบที่กระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากคัดค้านการทบทวนประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (ซีแอล) โดยใช้เวลาหารือกว่า 40 นาที ว่า สาเหตุที่ต้องทบทวนการทำซีแอลใหม่ เพราะได้เห็นหนังสือของกระทรวงพาณิชย์ ลงนามโดยนายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2551 เรื่องแสดงความเป็นห่วงต่อการทำซีแอลยามะเร็ง โดยเฉพาะมาตรการตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาที่ใช้กฎหมาย มาตรา 301 พิเศษ โดยจะจัดสถานะไทยจากเดิมเป็นประเทศที่ถูกจับตามองพิเศษ (พีดับเบิ้ลยูแอล) เป็นประเทศที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาขั้นรุนแรง (พีเอฟซี) ซึ่งเป็นการตอบโต้ขั้นรุนแรงมากที่สุด

นายไชยา กล่าวต่อว่า หนังสือฉบับดังกล่าวระบุด้วยว่า สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ของสหรัฐฯ(ฟาร์ม่า) จัดทำความเห็นเสนอสมาคมผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์)ให้เลื่อนสถานะของไทยเป็นประเทศพีเอฟซี ซึ่งจะมีการประกาศรายชื่อประเทศที่อยู่ในบัญชีพีเอฟซี ในวันที่ 30 เดือนเมษายนนี้ ดังนั้นขอให้สธ. ระมัดระวังในการดำเนินการซีแอล โดยให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้ตัดสินใจจะดีกว่า ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวได้จัดส่งถึงนายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งต่อมานายโฆษิต ได้เป็นประธานในการนัดประชุมร่วมกัน 3 ฝ่ายในวันที่ 4 มกราคม 2551 คือ สธ. กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงต่างประเทศ แต่ไม่สามารถหารือได้เนื่องจาก รมว.สธ. ขณะนั้นติดภารกิจต่างประเทศ

“มีสื่อมาบอกว่าผมอยู่ทางสองแพร่งต้องเลือกทางเดิน ผมจะเลือกทางเดินที่ถูกต้องที่สุด ใช้วิธีสันติโดยเรียกบริษัทมาคุยอีกว่า จะลดราคายาให้ได้หรือไม่ หากลดได้อีกก็ตกลงทำเอ็มโอยูร่วมกัน แต่ผมทำแบบลับๆ เดินในเชิงลึกป้องกันประเทศอื่นรู้แล้วทำตามเรา และพวกคุณไม่ต้องมาห่วงผมว่าผมจะเดินตามเกมเขา ผมไม่ใช่คนขี้จั๊กกะจี้ ผมจะรักษาผลประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นหลักแต่ขณะเดียวกันก็ต้องดูผลประโยชน์ของประเทศชาติด้วย ซึ่งผมพูดไปก็เหมือนประจานรมว.สธ.คนเก่า”นายไชยากล่าว

นายไชยา กล่าวตอนหนึ่งด้วยว่า ขอให้เครือข่ายผู้ป่วยฯ อย่าพึ่งวิตกจริต คำว่าทบทวนต่างจากคำว่ายกเลิก ทบทวนอาจหมายถึงเดินหน้าทำซีแอลยามะเร็งต่อไปก็ได้ หากเชิญบริษัทยามาเจรจาแล้วไม่ยอมลดราคาให้ แต่ที่ผ่านมาจากการทำซีแอลยาต้านไวรัสเอดส์ ช่วยให้รัฐประหยัดงบประมาณ 500 ล้านบาท ขณะที่ทำให้กระทรวงพาณิชย์ต้องสูญเสียรายได้เป็นหมื่นแสนล้านบาท อีกทั้ง การยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาท ก็ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปกว่า 2 พันล้านบาท

“สิ่งที่พวกคุณกลัวคือเข้าไม่ถึงยา ขอบอกว่าอย่ากลัวรัฐบาลกลางจะต้องจัดสรรหางบประมาณมาช่วยเหลืออยู่แล้ว ถ้าช่วยให้พวกคุณเข้าถึงยา แต่เสียหายทั้งประเทศก็ยอมไม่ได้ ซึ่งมาตรา 22 ของพ.ร.บ.สิทธิบัตร ผมพยายามพิจารณาแล้วว่าไม่เข้าข่ายให้ไทยทำซีแอลได้ กฎหมายมีไว้ให้คนใช้ อย่าอยู่เหนือกฎหมาย ผมมาโดยประชาชน ประชาชนกาเบอร์ให้ผมเพราะฉะนั้นประชาชนต้องมาก่อน”นายไชยากล่าว

นอกจากนี้ระหว่างการให้สัมภาษณ์มีตัวแทนเครือข่ายผู้ป่วยถามแทรกขึ้นมาว่า ขอคำตอบแค่ว่าท่านจะเอาชีวิตคนเป็นหลักหรือเศรษฐกิจเป็นหลัก นายไชยา ตอบว่า ทุกคนมีหุ้นของประเทศไทยคนละหุ้น ชีวิตของประชาชนก็ต้องสนใจขณะเดียวกันการค้าระหว่างประเทศก็ต้องสนใจ แต่ตนต้องห่วงประเทศชาติ เมื่อมีการทบทวนไม่ได้ยกเลิกก็จะต้องหาช่องทางบริษัทยามาหารือกัน ตนไม่ได้พูดเข้าข้างใคร ระหว่างนั้นมีผู้ป่วยถามแทรกอีกว่า ตอนนี้บริษัทยาวิ่งเต้นมากเลยใช่ไหม นายไชยา ตอบกลับทันทีว่า ไม่ต้องกลัว บริษัทยาไม่รวยเท่าขนหน้าแข้งผมหรอก พวกคุณเห็นบ้านผมหรือยัง

ด้านนายวิรัตน์ ภู่ระหงษ์ ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ/เอชไอวีแห่งประเทศ กล่าวหลังเข้าพบรมว.สธ.ว่า ไม่ได้รับความชัดเจนจากรมว.สธ.คนใหม่ว่าแนวทางการทบทวนจะเป็นไปในทิศทางหรือลักษณะไหน ท่านบอกว่าอาจจะต้องมีการทำบันทึกข้อตกลงกับบริษัทยา ก็ไม่รู้ว่าจะออกมารูปแบบใด เพราะที่ผ่านมาบริษัทยามีเล่ห์เหลี่ยมมาตลอด เครือข่ายฯจะต้องต่อสู้และเหนื่อยอีกมาก จากนี้จะรวบรวมเครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรังทั้ง หัวใจ ไต มะเร็ง และเอดส์ เพื่อให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการทำซีแอล และจะรณรงค์เรื่องการใช้ยาสามัญให้ทุกคนรู้

“จะเอาความสูญเสียทางเศรษฐกิจมาเทียบกับชีวิตคนไม่ได้ มันเป็นคนละเรื่อง พวกผมเป็นคนจนไม่ใช่คนรวยอย่างรัฐมนตรี จะเข้าถึงยาได้อย่างไร จะหวังพึ่งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหาเงินมาช่วยผู้ป่วยคงเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญ ฟังจากที่ท่านพูด ท่านเอนเอียงไปทางบริษัทยาและกระทรวงพาณิชย์มากกว่าประชาชน”นายวิรัตน์กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น