เอ็นจีโอบ่นได้ยิน รมว.พูดแล้วห่อเหี่ยว เหนื่อย ไม่เชื่อน้ำยา เซ็งไม่รู้ข้อมูลจริง อดีตประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อภาคกลางทวงถามหากไม่มียาต้านไวรัสคงจะต้องไปกินฆ่าหญ้าแต่ถูกรัฐมนตรีไล่ให้ไปกินดอกไม้จัน
เมื่อเวลา 15.00 น. นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางมาถึงกระทรวงสาธารณสุข จากนั้นจึงเปิดฉากการเจรจาหารือ ซึ่งบรรยากาศค่อนข้างวุ่นวาย เนื่องจากเครือข่ายผู้ป่วยฯ ไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับว่าจะมีจุดยืนในการทำซีแอลอย่างไร โดยยังคงเปล่งเสียง “ถูกใจ ถูกต้อง” เป็นระยะๆ
นายไพศาล จงอนุรักษ์ อดีตประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อภาคกลาง เปิดเผยว่า ในระหว่างการหารือตนเองได้พูดขึ้นว่า “ถ้าท่านทบทวนยกเลิกซีแอลผมคงไม่มียากิน แต่ผมต้องกินยาทุกวัน ดังนั้น ผมคงต้องคิดแล้วว่าต้องกินยาอะไรต่อ" ตอนนั้นตนเองนึกชื่อ ยาฆ่าหญ้าไม่ออก เลยถามเพื่อนว่า ยาฆ่าหญ้าชื่ออะไรนะ ซึ่งรัฐมนตรีตอบกลับมาว่า "ถ้าเป็นเขาให้กินดอกไม้จันแล้ว" พอเพื่อนบอกว่า ยากรัมม็อกโซล ตนเองจึงบอกตอบไปว่า "ดอกไม้จันผมไม่กินผมกินยาฆ่าหญ้า"
นายไพศาลกล่าวด้วยว่า ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไร แต่พอกลับมานั่งคิดก็เห็นว่า ท่านมีมุมของท่านอยู่มุมหนึ่งว่า ถ้าเป็นผู้ติดเชื้อสมควรขึ้นเมรุแล้วใช้ดอกไม้จันได้เลย
"ไม่รู้นะนี่เป็นความคิดของผม แต่มันตีความได้แบบนั้น ท่านรัฐมนตรีตีค่าความเป็นมนุษย์ของพวกเราน้อยเกินไป การที่เราเป็นผู้ป่วยเป็นผู้ติดเชื้อก็ควรมีกฎหมายที่สร้างให้เกิดความเป็นธรรม ไม่จำเป็นรัฐมนตรีหรือใคร ตาสีตาสา ก็ควรได้รับยา ซึ่งเราเรียนรู้มาแบบนั้น"
ขณะที่นางสายชล แซ่ลิ้ม รองประธานฝ่ายดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ชมรมชี่ไดนามิกส์ ประเทศไทย พยายามบอกข้อมูลตัวเลขผู้ป่วยมะเร็งว่าแท้จริงแล้วมีมากถึง 50,000 คน ไม่ใช่ 15,000 คน ตามข้อมูลของรัฐมนตรี ซึ่งทำให้กลุ่มเครือข่ายผู้ป่วยฯ รู้สึกรับไม่ได้ เพราะถือว่าแย่ยิ่งกว่าสั่งทบทวนซีแอลแต่เป็นการดูถูก ไม่เห็นคุณค่าของคน
นายนิมิตร์ กล่าวภายหลังได้หารือกับนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สธ.ว่า ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแก้ปัญหาของ รมว.ที่จะขอเงินจากกระทรวงการคลังมาเติมในส่วนที่ซีแอลช่วยประหยัดงบประมาณภาครัฐ 500 ล้านบาท เป็นการคิดง่ายเกินไป คนระดับรัฐมนตรีควรจะคิดแก้ปัญหาเชิงระบบ ไม่ใช่มารื้อสิ่งดีๆ ที่ทำไว้แล้ว การที่จะไปของบกระทรวงคลังเพิ่มก็รู้อยู่แล้วว่า งบประมาณมีปัญหา ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลย จะเอาเงินมาจากไหน เพราะแม้แต่งบค่าใช้จ่ายรายหัวในระบบประกันสุขภาพก็ยังน้อยอยู่ หรือจะเอาเงินส่วนตัวมาให้ จะจ่ายได้สักกี่ครั้ง
“ฟัง รมว.สธ.พูดแล้วก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจ เหนื่อย และสงสารตัวเองและเครือข่ายฯ ที่จะจะต้องสู้อีกนาน รู้สึกไม่เชื่อใจ รมว.สธ.เลย แต่ก็ให้กำลังใจ ทั้งเครือข่ายฯ และรมว.คงต้องทำงานอีกเยอะ โดยเฉพาะ รมว.คงต้องทำการบ้านหาข้อมูล ซึ่งคนที่ให้ข้อมูลอาจไม่ปลื้มการทำซีแอล หรือคนมีข้อมูลเข้าไม่ถึงตัว ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก ข้อมูลที่รัฐมนตรีพูดวันนี้แสดงชัดอยู่แล้วว่า พูดโดยไม่มีข้อมูล และไม่เข้าใจระบบสาธารณสุขเลย ขณะเดียวกันเราก็ต้องติดตามสถานการณ์ข้อมูลอย่างใกล้ชิด หากมียกเลิก แก้ไข ต้องให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม และหากไม่แก้ไขปัญหา หากต้องมีการเกิดขบวนประท้วงก็ต้องทำ และถึงจะไม่ยกเลิกซีแอล การที่บอกว่าให้ถอยคนละก้าวก็เท่ากับการล้มหัวคะมำแล้ว” นายนิมิตร์กล่าว
นายนิมิตร์ กล่าวด้วยว่า การที่จะอ้างว่ามีเอกสารที่ส่งมาจากกระทรวงพาณิชย์ แล้วประกาศจะทบทวนซีแอลเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะรมว.ควรจะปรึกษาหารือกับคนในกระทรวงก่อน โดยให้ผู้ที่ดูแลเรื่องซีแอลมาให้ข้อมูล ซึ่งจดหมายดังกล่าว ก็เป็นเพียงข้อกล่าวหาของของสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า) ที่คาดว่าจะมีผลกระทบจากการทำซีแอล แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เหตุผลการถูกจับตามมองเป็นประเทศที่ละมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างรุนแรง จะต้องมีหลักเกณฑ์มีการประกาศที่ชัดเจน ยิ่งสหรัฐฯ ไม่สามารถระบุได้ว่าการปรับเลื่อนระดับไทยมาจากการทำซีแอล เพราะไม่มีหลักฐาน ดังนั้น ทั้งรัฐมนตรีพาณิชย์ และสาธารณสุขควรจะเลิกเอามาเป็นข้ออ้างได้แล้ว