เชียงราย - นายอำเภอแม่สรวย เร่งจัดทีมบูรณาการสกัดรุกป่า ดึงผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้นำชุมชนกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน-ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน-สารวัตรกำนัน-ผู้นำชนเผ่า เข้าร่วมเป็นทีมงานสอดส่องปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า หลังตรวจพบป่า 3 ตำบลถูกทำลายหนัก
นายบุญยัง เรือนกุล นายอำเภอแม่สรวย จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาเรื่องการบุกรุกทำลายป่าใน อ.แม่สรวย ยังคงมีอยู่อีกมาก ทำให้ต้องสั่งบูรณาการเชิงรุก ดึงผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้นำชุมชนกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน-ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน-สารวัตรกำนัน-ผู้นำชนเผ่า เข้าร่วมเป็นทีมงานสอดส่องปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า หลังมีการตรวจพบว่าปัญหาการบุกรุกปรากฏอยู่ในพื้นที่ดอยสูง ต.วาวี ต.ท่าก๊อ ต.ศรีถ้อย โดยมีสภาพกระจายตัวตามหุบเขาสูง ในหลายพื้นที่รถยนต์เข้าไปไม่ถึง ต้องเดินเท้าเข้าไปสำรวจและจับกุม
นายบุญยัง กล่าวว่า จะเริ่มนำร่องโดยเน้นในพื้นที่โครงการหลวง (โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ โครงการหลวงห้วยน้ำขุ่น เป็นต้น) ซึ่งมีการตรวจพบว่ามีการบุกรุกป่าต้นน้ำมากขึ้น โดยผู้ที่บุกรุกส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขา ที่พยายามขยายที่ทำกินโดยผิดกฎหมาย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่อง การขยายพื้นที่บุกรุกเข้าทำแปลงปลูกข้าวโพด ชา กาแฟ
นอกจากจะถูกบุกรุกด้วยการแผ้วถางจุดไฟเผาป่าแล้ว ยังมีการนำสารเคมี สารพิษ โดยเฉพาะยาฆ่าหญ้า มาราดเพื่อกำจัดวัชพืชหรือพืชคลุมดินไม่ให้เจริญเติบโต ทำให้ไม่ต้องจ้างคนหรือเข้าตัดทำลายหลายครั้ง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมี นับว่ารุนแรงเพราะสารเคมีนอกจากจะติดหรือซึมซับลงไปในหน้าดินแล้ว ยังทำให้ผลผลิตทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ หรือข้าวโพด ล้วนแต่มีการปนเปื้อนสารพิษข้างใน เมื่อถูกนำมาจำหน่ายสู่ผู้บริโภค ย่อมทำให้เกิดอันตรายและรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว
นายบุญยัง กล่าวต่อว่า จะไม่มีการคาดโทษเจ้าหน้าที่หรือผู้นำท้องถิ่น เพราะว่าการตรวจตราการบุกรุกทำลายป่าของเจ้าหน้าที่ อาจเข้าไปไม่ทั่วถึงในหลายพื้นที่ ที่มีความกันดารและยากแก่การเดินทางเข้าไปตรวจ จึงต้องใช้พลังท้องถิ่นที่มีทุกๆ ฝ่ายเข้าร่วม และจะทำให้แผนการป้องกันรักษาป่าต้นน้ำทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้หากท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐ แผนการณ์รักษาป่าต่างๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้ การบุกรุกทำลายป่าก็จะยังคงอยู่ต่อไป
นายบุญยัง เรือนกุล นายอำเภอแม่สรวย จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาเรื่องการบุกรุกทำลายป่าใน อ.แม่สรวย ยังคงมีอยู่อีกมาก ทำให้ต้องสั่งบูรณาการเชิงรุก ดึงผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้นำชุมชนกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน-ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน-สารวัตรกำนัน-ผู้นำชนเผ่า เข้าร่วมเป็นทีมงานสอดส่องปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า หลังมีการตรวจพบว่าปัญหาการบุกรุกปรากฏอยู่ในพื้นที่ดอยสูง ต.วาวี ต.ท่าก๊อ ต.ศรีถ้อย โดยมีสภาพกระจายตัวตามหุบเขาสูง ในหลายพื้นที่รถยนต์เข้าไปไม่ถึง ต้องเดินเท้าเข้าไปสำรวจและจับกุม
นายบุญยัง กล่าวว่า จะเริ่มนำร่องโดยเน้นในพื้นที่โครงการหลวง (โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ โครงการหลวงห้วยน้ำขุ่น เป็นต้น) ซึ่งมีการตรวจพบว่ามีการบุกรุกป่าต้นน้ำมากขึ้น โดยผู้ที่บุกรุกส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขา ที่พยายามขยายที่ทำกินโดยผิดกฎหมาย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่อง การขยายพื้นที่บุกรุกเข้าทำแปลงปลูกข้าวโพด ชา กาแฟ
นอกจากจะถูกบุกรุกด้วยการแผ้วถางจุดไฟเผาป่าแล้ว ยังมีการนำสารเคมี สารพิษ โดยเฉพาะยาฆ่าหญ้า มาราดเพื่อกำจัดวัชพืชหรือพืชคลุมดินไม่ให้เจริญเติบโต ทำให้ไม่ต้องจ้างคนหรือเข้าตัดทำลายหลายครั้ง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมี นับว่ารุนแรงเพราะสารเคมีนอกจากจะติดหรือซึมซับลงไปในหน้าดินแล้ว ยังทำให้ผลผลิตทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ หรือข้าวโพด ล้วนแต่มีการปนเปื้อนสารพิษข้างใน เมื่อถูกนำมาจำหน่ายสู่ผู้บริโภค ย่อมทำให้เกิดอันตรายและรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว
นายบุญยัง กล่าวต่อว่า จะไม่มีการคาดโทษเจ้าหน้าที่หรือผู้นำท้องถิ่น เพราะว่าการตรวจตราการบุกรุกทำลายป่าของเจ้าหน้าที่ อาจเข้าไปไม่ทั่วถึงในหลายพื้นที่ ที่มีความกันดารและยากแก่การเดินทางเข้าไปตรวจ จึงต้องใช้พลังท้องถิ่นที่มีทุกๆ ฝ่ายเข้าร่วม และจะทำให้แผนการป้องกันรักษาป่าต้นน้ำทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้หากท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐ แผนการณ์รักษาป่าต่างๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้ การบุกรุกทำลายป่าก็จะยังคงอยู่ต่อไป