“สมหวัง” เผยเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะครู-ผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ ใหม่ เข้มกว่าเดิม ดีเดย์เมษายนนี้
นายสมหวัง พิธิยานุวัตร ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. ในฐานะประธานอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเฉพาะกิจในการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ครู ผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ร่วมกับ นายวิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศธ.เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะครู ผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ เมื่อเร็วๆ นี้ สรุปได้ว่าหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
คือ 1.ประเมินจากคุณสมบัติของผู้รับการประเมิน โดยจะผันแปรตามวุฒิการศึกษา และไม่กำหนดเงินเดือนขั้นต่ำไว้ เพราะต้องการสนับสนุนคนที่มีความรู้ ความสามารถได้มีโอกาสเข้ามาสู่วิชาชีพครูที่ก้าวกระโดดได้ 2.ประเมินจากภาระงานขั้นต่ำ คือ ผู้ขอรับการประเมินต้องมีภาระงานสอนไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ 3.การผ่านเกณฑ์การประเมิน ทั้งนี้ ผู้ขอรับการประเมินต้องผ่านเกณฑ์การประเมินใน 3 คือ ด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรวิชาชีพ ด้านคุณภาพการปฏิบัติงาน และด้านผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ สำหรับการประเมินด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรวิชาชีพ ในระดับวิทยฐานะชำนาญการและชำนาญการพิเศษ ใช้การประเมินแค่ผ่านหรือไม่ผ่านเท่านั้น แต่วิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ จะต้องผ่านการประเมินและความสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีได้ด้วย
ทั้งนี้ ในการประเมินด้านคุณภาพการปฏิบัติงานนั้น จะพิจารณาจากสมรรถนะตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ตามมาตรฐานตำแหน่งและวิทยฐานะแต่ละสายงาน และประเมินจากพยานการสอนตามเกณฑ์ที่กำหนด นอกจากนี้ การประเมินผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น สายผู้สอนจะพิจารณาจากผลการสอนและผลการพัฒนาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนด้านผลสัมฤทธิ์ระดับชาติและพัฒนาการของเด็ก ส่วนสายงานบริหารและศึกษานิเทศก์นอกจากปฏิบัติงานแล้ว ก็จะใช้ผลการทดสอบระดับชาติมาประกอบการพิจารณาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลต่อคุณภาพการศึกและต่อวงวิชาการและวิชาชีพด้วย อย่างไรก็ตาม เกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่นี้ จะอนุญาตให้ผู้ขอรับการประเมินวิทยฐานะยื่นขอรับการประเมินได้แค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น แต่จะเปิดโอกาสให้ยื่นคำขอได้ 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนเมษายน และเดือนตุลาคม
นายสมหวัง กล่าวว่า เกณฑ์การตัดสินนั้น ผู้ขอรับการประเมินจะต้องผ่านการประเมินอย่างเอกฉัน โดยวิทยฐานะชำนาญการ จะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ ได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 และวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ จะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
“หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะนี้ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ รมว.ศธ.ให้กลับมาพิจารณาแบบขอรับการประเมินอีกครั้ง ตนจะนำเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับ ก.ค.ศ.ในวันที่ 29 มกราคมนี้ เพื่อหาข้อยุติจากนั้นจะแจกจ่ายแบบขอรับการประเมินวิทยฐานะ ส่งไปให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ” นายสมหวัง กล่าวว่า หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะใหม่นี้จะเริ่มใช้เมษายนนี้
นายสมหวัง พิธิยานุวัตร ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. ในฐานะประธานอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเฉพาะกิจในการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ครู ผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ร่วมกับ นายวิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศธ.เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะครู ผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ เมื่อเร็วๆ นี้ สรุปได้ว่าหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
คือ 1.ประเมินจากคุณสมบัติของผู้รับการประเมิน โดยจะผันแปรตามวุฒิการศึกษา และไม่กำหนดเงินเดือนขั้นต่ำไว้ เพราะต้องการสนับสนุนคนที่มีความรู้ ความสามารถได้มีโอกาสเข้ามาสู่วิชาชีพครูที่ก้าวกระโดดได้ 2.ประเมินจากภาระงานขั้นต่ำ คือ ผู้ขอรับการประเมินต้องมีภาระงานสอนไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ 3.การผ่านเกณฑ์การประเมิน ทั้งนี้ ผู้ขอรับการประเมินต้องผ่านเกณฑ์การประเมินใน 3 คือ ด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรวิชาชีพ ด้านคุณภาพการปฏิบัติงาน และด้านผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ สำหรับการประเมินด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรวิชาชีพ ในระดับวิทยฐานะชำนาญการและชำนาญการพิเศษ ใช้การประเมินแค่ผ่านหรือไม่ผ่านเท่านั้น แต่วิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ จะต้องผ่านการประเมินและความสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีได้ด้วย
ทั้งนี้ ในการประเมินด้านคุณภาพการปฏิบัติงานนั้น จะพิจารณาจากสมรรถนะตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ตามมาตรฐานตำแหน่งและวิทยฐานะแต่ละสายงาน และประเมินจากพยานการสอนตามเกณฑ์ที่กำหนด นอกจากนี้ การประเมินผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น สายผู้สอนจะพิจารณาจากผลการสอนและผลการพัฒนาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนด้านผลสัมฤทธิ์ระดับชาติและพัฒนาการของเด็ก ส่วนสายงานบริหารและศึกษานิเทศก์นอกจากปฏิบัติงานแล้ว ก็จะใช้ผลการทดสอบระดับชาติมาประกอบการพิจารณาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลต่อคุณภาพการศึกและต่อวงวิชาการและวิชาชีพด้วย อย่างไรก็ตาม เกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่นี้ จะอนุญาตให้ผู้ขอรับการประเมินวิทยฐานะยื่นขอรับการประเมินได้แค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น แต่จะเปิดโอกาสให้ยื่นคำขอได้ 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนเมษายน และเดือนตุลาคม
นายสมหวัง กล่าวว่า เกณฑ์การตัดสินนั้น ผู้ขอรับการประเมินจะต้องผ่านการประเมินอย่างเอกฉัน โดยวิทยฐานะชำนาญการ จะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 วิทยฐานะเชี่ยวชาญ ได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 และวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ จะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
“หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะนี้ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ รมว.ศธ.ให้กลับมาพิจารณาแบบขอรับการประเมินอีกครั้ง ตนจะนำเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับ ก.ค.ศ.ในวันที่ 29 มกราคมนี้ เพื่อหาข้อยุติจากนั้นจะแจกจ่ายแบบขอรับการประเมินวิทยฐานะ ส่งไปให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ” นายสมหวัง กล่าวว่า หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะใหม่นี้จะเริ่มใช้เมษายนนี้
