“สาทิตย์” ย้ำจุดยืน ปชป.ไม่ร่วมรัฐบาล กับ “กล้าธรรม” เป็นความเห็นจากประชาชน ผ่านโครงการประเทศไทยไม่ทน แปลกใจ ปชน.ไม่กล้าบอกจุดยืนร่วมรัฐบาล อ้างกลัวผิดกฎหมาย แต่กลับประกาศไม่ร่วมรัฐบาลภูมิใจไทยได้ พร้อมเรียกร้องทุกพรรคแสดงจุดยืนให้ชัดเจน ชี้ ยังเร็วไปจะตอบว่า ปชป.จับมือแดงหรือส้ม เย้ยแคนดิเดตนายกฯ บางพรรค ไม่กล้าขึ้นเวทีดีเบต แสดงจุดยืนทางการเมือง
วันนี้ (24 ธ.ค.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าด้านยุทธศาสตร์พรรค กล่าวถึงจุดยืนของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับ พรรคกล้าธรรม ว่า ไม่ใช่จุดยืนเฉพาะตัวหัวหน้าพรรคหรือพรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น แต่เป็นผลจากการรับฟังเสียงประชาชนผ่านแคมเปญ “ประเทศไทยไม่ทน” ซึ่งสะท้อนชัดว่าประชาชนไม่อาจทนต่อการเมืองสีเทาและการทุจริตได้
นายสาทิตย์ ระบุว่า การประกาศจุดยืนดังกล่าวถือเป็น “ความกล้า” และยอมรับว่า ที่ผ่านมา เคยมีเสียงวิจารณ์ว่า เมื่อหัวหน้าพรรคประกาศจุดยืนแล้ว กรรมการบริหารพรรคกลับมีมติสวนทางจนหัวหน้าพรรคต้องลาออก แต่ครั้งนี้นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคให้เป็น “มติผูกพัน” ตามข้อบังคับพรรค ซึ่งมีผลผูกพันไปถึงหลังการเลือกตั้ง และยืนยันว่าจะอยู่ทำงานการเมืองต่อจนครบวาระ
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม เหตุใด พรรคประชาชน จึงระบุว่าไม่สามารถพูดเช่นนั้นได้ เพราะเกรงผิดกฎหมาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศชัดว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับ พรรคภูมิใจไทย มาก่อน จึงเห็นว่า การเมืองควรมีจุดยืนที่ชัดเจน
นายสาทิตย์ ยังแสดงความแปลกใจต่อการตีความหลังการประกาศจุดยืน ทั้งการมองว่าประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายค้าน หรือการโยงว่าจะไปจับมือกับ พรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาชน โดยย้ำว่า จุดยืนดังกล่าวไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เป็นการประกาศชัดว่า “ไม่เอาทุนเทา” และทำการเมืองสุจริต ซึ่งเป็นมติพรรคที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อถูกถามว่า กระแสการเมืองที่เหมือนมีการเตรียมจับมือจัดตั้งรัฐบาลล่วงหน้า จะเป็นการปิดประตูให้ประชาธิปัตย์ต้องเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายสาทิตย์ ตอบว่า อย่าดูถูกประชาชน เชื่อว่า ประชาชนต้องการเห็นจุดยืนของแต่ละพรรคอย่างชัดเจน และการคิดว่ามีการจับมือกันไว้แล้ว เป็นวิธีคิดที่ไม่มีประชาชนอยู่ในความคิด
“จากนี้จนถึงวันเลือกตั้ง ประชาชนจะติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ทั้งการดีเบตและจุดยืนทางการเมือง ใครหนีเวที ใครเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ไม่กล้าขึ้นเวที ซึ่งในระบอบประชาธิปไตย การดีเบตคือการแสดงจุดยืน ส่วนผลการเลือกตั้งให้รอดูหลังวันเลือกตั้ง”
ส่วนกรณีมีคำถามว่าทำไมจึงประกาศไม่จับมือกับพรรคกล้าธรรมเพียงพรรคเดียว ทั้งที่พรรคอื่นก็ถูกมองว่า “เทา” เช่น เพื่อไทยหรือภูมิใจไทย นายสาทิตย์ กล่าวเพียงว่าเรื่องนี้มีเป็นซีรีส์ ขอให้ประชาชนคอยติดตามดูต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หัวหน้าพรรคประชาชน ประกาศชัดเจนว่ายังคงนโยบายนิรโทษกรรมคดี 112 พรรคประชาชนจะมีจุดยืนต่อ ม. 112 อย่างไร นายสาทิตย์ กล่าวว่า ม.112 เป็นมาตราที่ยังมีความจำเป็น แต่การบังคับใช้ต้องมีความชัดเจน และโปร่งใส ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย แต่อยู่ที่การบังคับใช้ ซึ่งตอนนี้กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ ถูกแช่แข็งอยู่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ จะมีมติให้เดินหน้าหรือไม่ อย่างไร
เมื่อถามย้ำว่า ความชัดเจนที่จะจับมือทางการเมืองมีมากน้อยแค่ไหน นายสาทิตย์ กล่าวว่า ต้องดูจุดยืนทางการเมืองก่อน จะจับมือกับใครยังมีเวลาอีกนาน
นายสาทิตย์ ยังกล่าวว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ถูกโจมตี 3 เรื่อง คือ 1. โครงการชั่งไข่ขาย โดยบอกว่าไม่เคยเห็นว่ามีการขายแบบนี้ที่ไหน เรื่องนี้เป็นประเด็นเก่า ที่เหมือนท่องกันมา แต่ไม่มีผลเพราะไม่มีอยู่จริง 2. เรื่องคดี 99 ศพ เรื่องนี้ตนแนะนำว่าให้ไปหาดูคลิปที่นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงกับนักศึกษาที่จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย และ 3. เรื่อง MOU 43-44 ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีการพูดถึงน้อยลง เพราะมีการประชุมผ่านกลไกทวิภาคีแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า เป็นเรื่องธรรมดา ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่นำมาโจมตีพรรค หลังจากที่พรรคได้รับความสนใจจากประชาชนมากขึ้น ซึ่งเราพร้อมชี้แจงทุกเรื่องอยู่แล้ว


