คำกล่าวข้างต้น เป็นจุดยืนทางการเมืองประการหนึ่งของพรรคประชาชน ที่นำมาเป็นจุดขายทางการเมืองในการหาเสียงเลือกตั้ง
โดยนัยแห่งถ้อยคำข้างต้น คงจะหมายความว่า พรรคนี้จะต่อต้านธุรกิจผิดกฎหมายทำลายจริยธรรม รวมไปถึงนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประเภทนี้ด้วย
แต่ในความเป็นจริง สีเทาคือสีผสมระหว่างสีขาวกับสีดำ ถ้าส่วนผสมของสีขาวน้อยและสีดำมาก ก็จะเป็นสีเทาแก่หรือเทาดำ เปรียบได้กับคนที่ทำความดีน้อย และทำความชั่วมากที่สังคมเรียกว่า คนเลว ในทางกลับกัน ถ้าส่วนผสมของสีขาวมากและส่วนผสมของสีดำน้อยก็จะเป็นสีเทาอ่อน เปรียบได้กับคนที่ทำชั่วน้อยแต่ทำดีมากที่สังคมเรียกว่า คนดี
ดังนั้น การที่พรรคประชาชนประกาศจุดยืนเช่นนี้ ก็หมายความชัดเจนว่าในพรรคประชาชนจะต้องไม่มีคนเลว และจะไม่นำคนเลวเข้ามาสังกัดพรรค รวมไปถึงจะไม่ทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคที่มีคนเลวอยู่ในสังกัดด้วย
แต่ในความเป็นจริงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน บุคลากรทางการเมืองของพรรคประชาชนส่วนหนึ่งก็ทำผิดกฎหมาย และผิดจริยธรรม
ดังนั้น จุดยืนทางการเมืองที่ว่านี้ก็สวนทางกับความเป็นจริง จึงเชื่อได้ว่าเป็นการยากที่พรรคประชาชนจะทำได้ตามนี้ ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ในการเลือกคนลงสมัครเลือกตั้ง พรรคประชาชนไม่มีศักยภาพที่จะคัดเลือกคนได้ตามจุดยืนนี้ 100% ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต
2. ถ้าพรรคประชาชนได้เลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง แต่ได้ สส.ไม่ถึง 250 คน แต่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะหาพรรคการเมืองใดมาเป็นพันธมิตรทางการเมืองร่วมรัฐบาล โดยที่ไม่มีนักการเมืองสีเทาอยู่ในพรรคนั้น เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ จะเห็นได้จากการที่พรรคประชาชนหนุนให้อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี และใน ครม.ของอนุทินบางคนถูกสังคมมองว่าเป็นสีเทา ถึงแม้พรรคประชาชนไม่เห็นด้วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
3. ถ้าพรรคประชาชนได้รับเลือกเกิน 250 ที่นั่ง และเป็นรัฐบาลพรรคเดียว มั่นใจแค่ไหนว่าจะปราบธุรกิจสีเทาและนักการเมืองสีเทาได้ ถ้าทำไม่ได้จะรับผิดชอบอย่างไรต่อสิ่งที่พูดไว้แล้วทำไม่ได้
จากเหตุปัจจัย 3 ประการข้างต้น เชื่อได้ว่าจุดยืนนี้พรรคประชาชนทำได้ยาก ถ้าเป็นเช่นนี้วาทกรรมที่ว่านี้ก็เป็นสัญญาประชาคมที่ล้มเหลว ไม่ต่างกับนโยบายที่พรรคการเมืองอื่นพูดแล้วทำไม่ได้


