xs
xsm
sm
md
lg

ฟ้องเป็นปกติธุระ! นี่ละ “โจ๊ก” เล่นใหญ่ท้าทายศาลปกครอง ซ่อนกลดิ้นแก้เกมถูก "ไล่ออก"!! ** เวทีอภิปรายนโยบายรัฐบาล “แดง-ส้ม” รุมถล่มเขากระโดง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล - ประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ - พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
ข่าวปนคน คนปนข่าว


++ ฟ้องเป็นปกติธุระ! นี่ละ “โจ๊ก” เล่นใหญ่ท้าทายศาลปกครอง ซ่อนกลดิ้นแก้เกมถูก "ไล่ออก"!!

โจ๊กก็ยังเป็นโจ๊ก... “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล” อดีต รอง ผบ.ตร. ที่ถูกสั่ง "เด้ง" พ้นเก้าอี้ราชการ เคลื่อนไหวอีกครั้ง เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องให้ “ประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ” ประธานศาลปกครองสูงสุด และ “อนุวัฒน์ ธาราแสวง” ประธานแผนกคดีละเมิด และความรับผิดอย่างอื่น ศาลปกครองสูงสุด ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาคดีในคดีหมายเลขดำ ที่ ฟ.117/2567 ที่ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ และนายกรัฐมนตรี ที่ให้เขาออกจากราชการ เนื่องจาก ได้ยื่นฟ้อง “ประสิทธิ์ กับ อนุวัฒน์” ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีการแทรกแซงองค์คณะเจ้าของสำนวนคดี ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกกฎหมาย และจริยธรรมศาลปกครอง

ฟ้องๆๆแล้วก็ฟ้อง...เอะอะก็ฟ้อง นี่เป็นกระบวนท่าของ “โจ๊ก” ที่ใช้บ่อยในการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น แม้แต่ศาลจึงไม่มีข้อยกเว้นสำหรับ โจ๊ก

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่18 ก.ย. “โจ๊ก” ก็เพิ่งไปยื่นเรื่องให้ ก.ศป. สอบวินัยและจริยธรรมไปหมาดๆ แต่คราวนี้เล่นใหญ่กว่าเดิม ยื่นฟ้องประธานศาลปกครอง และประธานแผนกคดีฯ ทั้งสองท่านต่อ "ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง" ในข้อหา ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

ถามว่า “โจ๊ก”ทำไปเพื่ออะไร? แน่นอนว่า ต้องการสกัดการพิจารณาของศาลปกครอง หรือกวนน้ำให้ขุ่น ในเรื่องตัวเอง

ข้ออ้างทำนองว่า การกระทำของ “ประสิทธิศักดิ์ และ อนุวัฒน์” ในการแทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดีขององค์คณะตุลาการศาลปกครองเจ้าของสำนวน เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะเป็นการล้มล้างความเป็นอิสระของตุลาการ ตัวเองเชื่อมั่นในการกระบวนการพิจารณาคดีของศาลปกครอง แต่ไม่เชื่อมั่นในกระทำของบุคคลบางคน ซึ่งทำให้องค์กรศาลปกครองเสื่อมเสีย จึงจำเป็นต้องเปิดเผยพฤติกรรมของคนเหล่านี้ ให้ประชาชนได้เห็น เพื่อให้พวกเขาไม่กล้า และไม่มีที่ยืนในสังคม ...เชื่อว่าสาธารณชนถ้าฟังแล้วจะเห็นว่า เป็นเหตุผลของ “คนจนตรอก” มากกว่า

ประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ
เรื่องราวนี้ย้อนกลับไปที่ คดีหมายเลขดำ ที่ ฟ.117/2567 ที่ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ฟ้อง ผบ.ตร. และนายกฯ กรณีสั่ง "ให้ออก" จากราชการ อ้างว่ามี "คลิปเสียง" หลุดออกมา!

คลิปดังกล่าวถูกอ้างว่า เป็นเสียงของ “อนุวัฒน์ ธาราแสวง” ที่ไปแจ้งองค์คณะตุลาการเจ้าของสำนวน ว่า ได้รับคำสั่งจาก “ประสิทธิ์ศักดิ์” ประธานศาลปกครองสูงสุด ให้ "ยกเลิกมติ" เดิม แล้วประชุมใหม่ทั้งหมด และอาจถึงขั้นนำเข้าที่ประชุมใหญ่ฯ ซึ่งทำให้ “โจ๊ก” ไม่พอใจ หาเหตุมายื่นหนังสือร้องเรียน และฟ้องดังกล่าว

นอกจากฟ้องแล้ว “โจ๊ก” ยังให้สัมภาษณ์ กล่าวหาประธานศาลปกครองว่า “ประสิทธิ์ศักดิ์” เคยมาติดต่อขอ "ฝากฝังนายตำรวจ" ให้เลื่อนตำแหน่ง สมัยที่ตนเป็น รอง ผบ.ตร. แต่ตนไม่สนอง พร้อมตอกย้ำด้วยบรรทัดฐานเก่า ที่ อดีตประธานศาลปกครองฯ ท่านหนึ่งเคยโดนปลดเพราะ "วิ่งเต้นฝากตำรวจ" มาแล้ว!

ดังนั้น “โจ๊ก”คิดเองสรุปเองเสร็จสรรพว่า ประธานศาลปกครองสูงสุด อาจไม่พอใจ ที่ฝากตำรวจกับตัวเองแล้วไม่ได้

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยังเรียกร้องให้ประธานศาลปกครองสูงสุด ปฏิบัติตามมติขององค์คณะเจ้าของสำนวนคดีของตนเอง ที่เห็นว่าตนไม่ผิด! หากจะมากลั่นแกล้งเปลี่ยนแปลงผลคดี ก็จะสู้จนถึงที่สุด แต่หากประธานศาลปกครองสูงสุด กลับตัวกลับใจ พิจารณาคดีของตนให้เหมือนกับบุคคลอื่น ก็พร้อมยอมรับผลแห่งคดี และจะขอบคุณด้วย

โอ้... “โจ๊ก” คิดอะไรอยู่ไม่มีใครรู้ได้ แต่ทำไมช่างกล้าพูดกล้าทำอะไรแบบนี้ คนที่รู้จักตัวตนของโจ๊กดี ก็จะรู้ว่า นี่แหละโจ๊ก ตัวจริง

การเล่นใหญ่ ฟ้องระดับ "ประธานศาลปกครองสูงสุด" ไม่ใช่แค่การตอบโต้ แต่เป็นการ "ดิ้นรนครั้งสุดท้าย" ของ“โจ๊ก” ที่เดิมพันสูงลิ่ว เพราะหากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ที่ไม่เป็นคุณกับเขา นั่นเท่ากับชีวิตที่ 9 ที่ 10 ที่หวังลมแล้งๆ จะไปแล้วไปลับ ไม่มีวันกลับคืนมาตลอดกาล

ที่แน่ๆ การฟ้องศาลต่อผู้ที่เขาคิดว่าเป็นปรปักษ์ของ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ยืนยันคำกล่าวที่ว่า อดีตนายตำรวจผู้นี้มีนิสัยชอบเดินขึ้นโรงขึ้นศาลประเภท "ฟ้องจนเป็นปกติธุระ" จริงๆ

พร้อมกับสิ่งที่ซ่อนเร้นหมากกลเอาไว้อีกขั้น พยายามทำตัวให้มีแสงออกสื่อ ให้ถี่ ฟ้องนู้นที ฟ้องนั่นที เพื่อสกัดยับยั้งคำสั่ง "ไล่ออก" ที่กำลังจะตามมาของ ตร.นั่นเอง

เพราะหากเทียบระหว่าง "ให้ออก" กับ "ไล่ออก" อย่างหลังชั่วร้ายแรง คือ จบสิ้นชีวิตเกียรติที่เคยเป็นตำรวจ ของอดีตรอง ผบ.ตร. คนนี้ ของแทร่.

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
++ เวทีอภิปรายนโยบายรัฐบาล “แดง-ส้ม” รุมถล่มเขากระโดง!

“อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนแล้ว

นโยบายสำคัญของรัฐบาลยึดหลัก 3 ประการ 1. พิทักษ์รักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. ยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ 3. ยึดหลักนิติธรรม บริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานธรรมาภิบาล
และข้อ 3 นี่เอง ที่ตกเป็นเป้าของฝ่ายค้าน ทั้ง “ทวี สอดส่อง” อดีต รมว.ยุติธรรม กับ “จุลพงศ์ อยู่เกษ” พรรคส้ม หยิบยกมาถล่ม เรื่อง“เขากระโดง”

“พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” บอกว่า ในช่วง4 เดือน ก่อนยุบสภา นายกฯควรรู้ดีว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และอะไรคือสิ่งที่รัฐบาลต้องไม่ทำ เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ครม.นี้ มีความซื่อสัตย์ สุจริต

ดังนั้น รัฐบาลต้องไม่ใช้กฎหมาย อยู่เหนือความยุติธรรม การไม่ใช้อำนาจไปแทรกแซงใดๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ดินเขากระโดง ที่ไปเกี่ยวกับกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงคมนาคม ที่คุมการรถไฟฯ

“พ.ต.อ.ทวี” ได้ยกคำพิพากษาศาลยุติธรรม 9 ฉบับ โดยมีผู้พิพากษา 24 ท่าน ที่เป็นนักปราชญ์ด้านที่ดิน ออกมาตัดสินแล้วว่า ที่ดินเขากระโดง กว่า 5,000 ไร่ เป็นที่ดินการรถไฟ ที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ ซึ่งล้นเกล้า ร.6 พระราชทาน แก่การรถไฟฯ แล้วยังจะมีคนไปช่วงชิงที่ดินนี้ มาเป็นของตนเองอีกหรือ?

การอภิปรายของ “พ.ต.อ.ทวี” ทำเอา สส.บุรีรัมย์ ภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงกันวุ่น อ้างว่า นโยบายรัฐบาลที่นายกฯแถลง ไม่มีเรื่องนี้ และนายกฯก็บอกแล้วว่า จะไม่แทรกแซง แต่ตัวผู้อภิปรายต่างหาก ที่แทรกแซง

ซึ่ง “พ.ต.อ.ทวี” ก็ยืนยันว่า การอภิปรายคดีเขากระโดง อยู่ในนโยบายที่รัฐบาลระบุว่า จะไม่ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเรื่องนี้นายกฯอนุทิน เกี่ยวข้องเพราะมีบ้านอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ มีที่ดินอยู่ในที่เขากระโดงนี้ด้วย จึงต้องออกมาเตือนว่า อย่าใช้อำนาจในการเป็นรัฐบาล มาทำลายหลักนิติธรรม นิติรัฐ เอื้อประโยชน์พวกพ้อง

จุลพงศ์ อยู่เกษ
อีกคนที่อภิปรายถึงเรื่องนี้ คือ “จุลพงศ์ อยู่เกษ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคส้ม บอกว่า เรื่องที่ดินเขากระโดง ควรจบไปนานแล้ว คำพิพากษาทุกศาล ทั้งศาลยุติธรรม และศาลปกครอง ยืนยันว่าเป็นของการรถไฟฯ แต่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เหมือนจงใจเตะถ่วง และปล่อยให้เรื่องคาราคาซัง อยู่เป็นสิบๆ ปี เดี๋ยวการรถไฟฯ ก็ไปร้องกรมที่ดิน เดี๋ยวกรมที่ดิน ก็ตั้งคณะกรรมการ แล้วสรุปว่าไม่เพิกถอน ให้การรถไฟฯไปฟ้องศาล เพิกถอนโฉนดเอาเอง การรถไฟฯก็ไม่ยอมฟ้องเพิกถอน แต่เดินอ้อมไปฟ้องศาลปกครอง ให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดเอง แล้วก็เอาเรื่องนี้มากดดัน หรือต่อรองทางการเมืองกัน

จนถึงวันนี้ กรมที่ดิน ยังไม่ยอมใช้อำนาจทางปกครองเพิกถอนโฉนดคืนให้กับการรถไฟฯ

พิพัฒน์ รัชกิจประการ
เมื่อ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” มานั่ง รมว.คมนาคม ก็ประกาศว่าจะให้การรถไฟฯ ฟ้องเป็นคดีแพ่ง เพื่อเพิกถอนโฉนดรายแปลงทั้ง 995 แปลง รวมเนื้อที่ 5,000 กว่าไร่ ซึ่งถือว่ากำลังทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อหาแนวร่วมให้ชาวบ้านมาช่วยออกแรงต้าน

“สส.พรรคส้ม”เสนอว่า แทนที่จะให้การรถไฟฟ้องเหมาเข่งทีเดียว 900 กว่าแปลง ก็ให้เลือกฟ้องบางแปลงที่ชัดเจนแล้วว่า เป็นที่ดินของการรถไฟแน่นอน 100% เมื่อชนะคดีแล้ว คราวนี้กรมที่ดินก็จะปฏิเสธการเพิกถอนโฉนดไม่ได้

“จุลพงศ์” ยกตัวอย่างที่ดิน 2 แปลง ที่ถือว่า เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์เขากระโดง คือ ที่ดินแปลง 3466 และ ที่ดินแปลง 8564 รวมกัน 44 ไร่ ถ้าจะเอาที่ดินเขากระโดงคืนให้การรถไฟฯ ต้องเริ่มจาก 2 แปลงนี้ เพราะเมื่อปี 2554 ทางป.ป.ช. ได้ชี้ว่า การออกโฉนดที่ดินแปลง 3466 และ 8564 นั้นมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการออกโฉนดทับที่ดินของการรถไฟฯ

แต่ปรากฏว่า พอ ป.ป.ช. บอกดังนั้น กรมที่ดินก็ดื้อ ไม่ยอมเพิกถอน กลับดึงเรื่องไปถามอัยการสูงสุด ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร อัยการสูงสุด เลยตอบกลับกรมที่ดินว่า ให้ไปแจ้งการรถไฟฯในฐานะผู้เสียหาย ให้การรถไฟฯ ไปฟ้องศาลเอาที่ดิน 2 แปลงนั้นคืน แต่ไม่รู้ทำไมการรถไฟฯ ไม่ยอมไปฟ้องเสียที

ตั้งแต่สมัยนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อเนื่องมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, เศรษฐา ทวีสิน , แพทองธาร ชินวัตร” กรมที่ดินไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง การรถไฟฯก็ไม่ยอมฟ้องเอาที่ดินคืน

ถึงวันนี้มาเป็น รัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” ประกาศนโยบายออกมาแล้ว ก็ช่วยทำให้ดูทีเถอะ

อยากรู้ไหม โฉนดที่ดินแปลง 3466 เป็นของใคร... เป็นของ “ชัย ชิดชอบ” (ในขณะนั้น) เนื้อที่ 7 ไร่เศษ

ส่วน โฉนดที่ดินแปลง 8564 เนื้อที่ 37 ไร่เศษ เป็นของ “กรุณา ชิดชอบ” (ในขณะนั้น)

“พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.คมนาคม ช่วยสั่งการให้ การรถไฟฯ ฟ้อง 2 แปลงนี้เป็นการนำร่อง เอาที่เขากระโดงกลับคืนมาให้การรถไฟฯทีเถอะ รับรองชนะชัวร์ !

แต่ถ้าภายใน 4 เดือนนี้ ไม่ยอมทำอะไรเลย ย่อมหนีไม่พ้นคนนินทา หมาดูถูก ว่าปกป้องพวกพ้อง!!


กำลังโหลดความคิดเห็น