xs
xsm
sm
md
lg

"โจ๊ก" ยื่นรอบ 3 ปธ.ศาลปค.สูงสุดร้องเพิกถอนความเห็นตุลาการอ้างอคติทำคดีพ้นสีกากี เหตุแค้นไม่รับฝากตร.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อดีตตร.ดัง ไม่หยุดยื่นปธ.ศาลปค.สูงสุดรอบสามร้องเพิกถอนความเห็น ตุลาการอีกอ้างอคติ ทำพิจารณาคดีออกจากราชการไม่เที่ยงธรรม เชื่อ "ประสิทธิ์ศักดิ์" สั่งล้มคดีเหตุโกรธเรื่องเก่าไม่รับฝากตร.ให้ เตรียมลุยฟ้อง 2 ผู้บริหารศาลปค.ศาลอาญาทุจริตปลายสัปดาห์นี้

วันนี้ (23ก.ย.) พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์หักพาล  อดีตรองผบ. ตร เดินทางมายังศาลปกครองเป็นครั้งที่ 3 โดยเป็นการมายื่นหนังสือต่อประธานศาลปกครองสูงสุด ขอยกเลิกเพิกถอนความเห็นของนางสิริกาญจน์ พานพิทักษ์ ประธานแผนกคดีบริหารราชการแผ่นดินในศาลปกครองสูงสุด  

ในคดีหมายเลขดำที่ฟ.117/2567 ที่ตนเองยื่นฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ และ นายกรัฐมนตรี ที่ให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์   ออกจากราชการ และยื่นหนังสือ ถึงนายอำพน เจริญชีวินทร์ ตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด ขอให้นำเสนอประธานศาลปกครองสูงสุด  และประธานแผนก คดีบริหารราชการแผ่นดินในศาลปกครองสูงสุด เพิกถอนความเห็นในคดีดังกล่าวของ นางสิริกาญจน์ฯ  รวมถึงยื่นหนังสือถึงนางสิริกาญจน์ ในฐานะประธานแผนกคดีบริหารราชการแผ่นดินในศาลปกครองสูงสุด ขอให้เพิกถอนความเห็นของตัวเองในคดีดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าเป็นความเห็นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปราศจากความเป็นกลาง มีอคติ อันเป็นสภาพร้ายแรง ไม่อยู่บนพื้นฐานของความสุจริตเที่ยงธรรม ขัดต่อกฎหมาย รัฐธรรมนูญ มาตรา 188 และจริยธรรมตุลาการศาลปกครอง ข้อ 1 ข้อ 3 และข้อ 6

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าก่อนหน้านี้ ตนได้มีหนังสือขอให้ประธานศาลปกครองสูงสุด ถอนตัวจากการพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่ให้ประชุมใหญ่วินิจฉัย และให้ดำเนินการทางจริยธรรมกับนายอนุวัฒน์  ธาราแสวง ประธานแผนกคดีละเมิดและความรับผิดอย่างอื่น ศาลปกครองสูงสุด  เพราะเป็นเพื่อนเรียนหลักสูตรศาลรัฐธรรมนูญกับพลตำรวจเอกกิตติรัฐ พันธุ์เพชร ผบ.ตร. ผู้ที่ตนฟ้องคดี ต่อมาทราบว่าประธานศาลปกครองสูงสุดได้มอบหมายให้นางสิริกาญจน์ ที่เป็นประธานแผนกฯ อีกท่านหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นพนักงานอัยการรุ่นเดียวกับท่านและมีความสนิทคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นพนักงานอัยการลงมาคุมคดีของตน เพื่อจะให้เป็นไปตามความประสงค์ของประธานศาลปกครองสูงสุด  ดังที่เคยสั่งให้นายอนุวัฒน์ฯ นำความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับคดีไปเสนอองค์คณะที่ 9 ให้ล้มมติเดิม แล้วประชุมมีมติใหม่ รวมถึงวางแผนสมคบคิดที่จะล้มคดีที่องค์คณะฝ่ายข้างมากมีมติแล้ว โดยสั่งการ ให้ประชุมและมีมติใหม่ รวมถึงวางแผนให้นำเข้าที่ประชุมใหญ่แล้วนั้น

"ซึ่งหลังนางสิริกาญจน์ได้รับมอบหมาย มีบุคคลในศาลรัฐธรรมนูญโทรศัพท์ไปเล่าให้ฟังว่านางสิริกาญจน์ฯ ประธานแผนกฯ ได้ไปพูดกับบุคคลในศาลฯ ว่า “ฉันเกลียดไอ้โจ๊กมัน” ซึ่งเป็นพฤติการณ์ของบุคคลผู้ซึ่งเป็นประธาน แผนกฯ ในศาลปกครองสูงสุดที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง อันเป็นการแสดงออกถึงความมีอคติส่วนตัวต่อตนอย่างชัดแจ้ง การไปพูดกับบุคคลที่ 3 ว่าเกลียดตนเป็นการแสดงออกถึงเจตคดีในทางลบที่มีต่อตนล่วงหน้าก่อนการพิจารณาและมีความเห็นทางคดี อันเป็นสภาพร้ายแรง ขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญ มาตรา188 บัญญัติไว้ว่า การพิจารณาพิพากษาคดีต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงมายื่นขอให้มีการเพิกถอนความเห็นที่มิชอบดังกล่าว หากไม่ดำเนินการก็จะดำเนินคดีอาญาจนถึงที่สุด"

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า การมายื่นหนังสือวันนี้ ถือเป็นการดำเนินการทางเอกสารให้ครบตามขั้นตอน เพราะในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะไปยื่นฟ้องผู้บริหารระดับสูง2 คนซึ่งยังไม่ขอเปิดเผยชื่อต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

"หลังผมมายื่นหนังสือคัดค้าน นายอนุวัฒน์ ก็ทราบจากแหล่งข่าวว่า วันรุ่งขึ้น นายอนุวัฒน์ถอนตัวทันที ซึ่งท่านควรจะถอนตัวตั้งแต่แรกแล้ว  แต่มาถอนตอนที่ผมมาร้องแล้ว ถ้าบริสุทธิ์ใจจะถอนทำไม  หรือเป็นเพราะผมจับได้ไล่ทัน จึงต้องรีบถอนตัว แล้วพอนายอนุวัฒน์พ้นไป ประธานศาลปกครองสูงสุดก็ตั้งนางสิริกาญจน์  คนสนิทมาคุมคดีผมอีก ซึ่งท่านสิริกาญจน์ก็ไปพูดเช่นนี้ แสดงถึงอคติที่ท่านมีต่อผมโดยที่ไม่ได้รู้จักผมมาก่อน ถ้าไม่มีใบสั่งจะมาพูดอย่างนี้ได้อย่างไร ดังนั้นที่ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดดำเนินเกี่ยวกับคดีของผมทั้งสั่งล้มคดีของผม วางแผนเอาคดีของผมเข้าคณะใหญ่ ทั้งที่องค์คณะมีมติไปแล้ว  และการส่งบุคคลใกล้ชิดมาคุมคดีจึงสงสัยว่า เพราะประธานศาลปกครองสูงสุดโกรธตนหรือเปล่าเรื่อง 3ปีก่อนฝากตำรวจคนหนึ่งระดับรองสารวัตรย้ายขึ้นสารวัตรกับผมแล้วและผมไม่ทำให้ ท่านไปดูพรบ.ตำรวจมาตรา 87 วรรคห้าเขียนไว้ว่าผู้ใดขอหรือฝากตำรวจให้โยกย้ายอัตราโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 5 ปี เรียนว่าที่ผมไม่ทำให้ท่านเพราะผมไม่ใช่ผบ. ตรและพรบตำรวจระบุชัดเจนว่าเป็นความผิด"

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยังยืนยันว่าที่ดำเนินการเรื่องดังกล่าวไม่ได้เพราะคิดจะกลับไปเป็นรองผบ. ตร เพราะไม่ได้สนใจแล้ว แต่ต้องการทำให้เรื่องนี้ให้เป็นตัวอย่างของสังคมว่า มีกลุ่มคนบางกลุ่มในศาลปกครองที่ทำให้ภาพลักษณ์ของศาลปกครองเสียหาย โดยการเข้ามาแทรกแซงการพิจารณาคดี ที่ตนเองเป็นผู้ร้อง พร้อมยืนยันว่า ตนเองไม่ได้แทรกแซงคดี ไม่ได้กระทำการละเมิดอำนาจศาล และกระบวนการพิจารณา แต่ต้องการมาเปิดเผยความจริงให้ ประชาชนทราบ ว่ามีเรื่องในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นในการพิจารณาคดีของตุลาการศาลปกครอง และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และการเตรียมยื่นฟ้องในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะต้องต่อสู้หรือเอาคืนกับใคร แต่เป็นเรื่องที่ เมื่อใครทำผิด ก็จะมีกระบวนการในการตรวจสอบอยู่แล้ว ทั้งจากพยานหลักฐาน เอกสาร


กำลังโหลดความคิดเห็น