จับตา “หมอไห่” ยังอยู่ยงคงพระพันในตำแหน่งประธาน กสทช.หรือไม่ หลังผลตรวจสอบของ กมธ.วุฒิสภาชุดก่อน ชี้ชัดว่าขาดคุณสมบัติ แต่ยังก้นเหนียวติดเก้าอี้ เพราะเปลี่ยนโปรย้ายค่ายจาก “3 ป.” มาเกาะ “ชินวัตร” ล่าสุดย้ายค่ายอีกครั้งมาอยู่กับ “สีน้ำเงิน” วัดใจ “อนุทิน” กล้ากราบบังคมทูลฯ ให้พ้นตำแหน่งหรือไม่ เพราะหลักฐานชัดเจนทุกอย่างแล้ว
วันนี้(16 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อีกปัญหาคาราคาซังที่รอนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี เข้ามาจัดการให้เด็ดขาด ก็คือการดำรงตำแหน่งประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.ของ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ หรือ “หมอไห่” ซึ่งมีความชัดเจนแล้วว่า ขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าว ตามผลการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม ของวุฒิสภา ซึ่งได้ข้อสรุปออกมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2567 แล้ว และตามขั้นตอนทางกฎหมาย ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องนำเรื่องขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพื่อปลด “หมอไห่” ออกจากตำแหน่งกรรมการและประธาน กสทช. แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้ดำเนินการ
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน กสทช.อย่างน่ากังขา เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านโทรคมนาคมหรือการสื่อสารมาก่อน โดยเป็นแพทย์โรคหัวใจมาเกือบตลอดชีวิต สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี มีชื่อเสียงจากการเป็นแพทย์ส่วนตัวให้บุคคลสำคัญในวงการเมืองและกองทัพ รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี
แต่เป็นที่ทราบกันว่า ในยุค 3 ป.เรืองอำนาจ “หมอไห่” คือคนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ วางตัวไว้แล้ว “หมอไห่” จึงผ่านการรองจากวุฒิสภาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 ให้เป็นกรรมการ กสทช. หลังจากนั้นวันที่ 14 มกราคม 2565 ที่ประชุมกรรมการ กสทช.ได้มีมติเลือก “หมอไห่” เป็นประธาน กสทช. และได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2565
อย่างไรก็ตาม ต่อมา ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ถูกตรวจสอบคุณสมบัติ หลังจาก ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ อดีตรองเลขาธิการ กสทช. ร้องเรียนต่อประธานวุฒิสภาให้ตรวจสอบว่า ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ยังดำรงตำแหน่งพนักงานของรัฐ ในช่วงเวลาที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธาน กสทช. ซึ่งขัดต่อกฎหมาย โดยคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคมของวุฒิสภา สรุปชัดเจนว่า ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ขาดคุณสมบัติ
หลักฐานสำคัญก็คือ เอกสารจากมหาวิทยาลัยมหิดล ยืนยันว่า ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ เป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยในช่วงที่ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการ กสทช. อีกทั้งข้อมูลจากแบบ ภ.ง.ด.90 ซึ่งเป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงปี 2564-66 พบว่า ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ยังคงได้รับรายได้จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงบริษัทเอกชน เช่น บริษัท เมอร์ค จำกัด ธุรกิจด้านเวชภัณฑ์ระดับโลก แม้จะดำรงตำแหน่ง ประธาน กสทช. ที่ได้รับเงินจากตำแหน่งเดือนละ 361,000 บาท (ไม่นับรวมเบี้ยประชุมและผลประโยชน์อื่นๆ) สูงกว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 2-3 เท่า ซึ่งขัดต่อมาตรา 8 มาตรา 18 และมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ อย่างชัดเจน
ส่วนปมขัดแย้งที่ทำให้ ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ ต้องร้องเรียนต่อประธานวุฒิสภานั้น ก็เพราะ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ไม่ยอมลงนามแต่งตั้ง ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ เป็นรักษาการเลขาธิการ กสทช. แทนนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ซึ่งถูกมติที่ประชุม กสทช. ปลดออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2566 เนื่องจากข้อกังขาที่ นายไตรรัตน์ อนุมัติเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) จำนวน 600 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก
แต่ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ กลับพยายามรักษาตำแหน่งของนายไตรรัตน์ไว้ โดยอ้างว่า อำนาจในการแต่งตั้งรักษาการเลขาธิการ กสทช. เป็นของประธาน กสทช. เท่านั้น ส่งผลให้ นายไตรรัตน์ ยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช.ต่อมา จนกระทั่งวันนี้
ภายหลังจากที่กรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศฯ ของวุฒิสภา มีข้อสรุปออกมาแล้วว่า ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการและประธาน กสทช. แต่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นที่ทราบเรื่องแล้ว ไม่ดำเนินการนำเรื่องกราบบังคมทูลฯ เพื่อให้ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา รวมถึงมาตรา 112 อีกด้วย
ทั้งนี้ แม้ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ เคยได้รับการผลักดันเข้าสู่ตำแหน่งประธาน กสทช. ในยุคที่กลุ่ม 3 ป. มีอำนาจเต็มที่ แต่เมื่ออำนาจของ พล.อ.ประวิตร เริ่มถดถอย ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ได้หันมาแนบแน่นกับกลุ่มของนายทักษิณ ชินวัตร ผ่านสายสัมพันธ์กับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และยังดึงนายพชร นริพทะพันธุ์ ลูกชายนายพิชัย เข้ามาเป็นที่ปรึกษาประจำประธาน กสทช.ด้วย
ในเวลาต่อมา สส.ฝ่ายค้านอย่างนายรังสิมันต์ โรม จากพรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามสดถึงนายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2568 เรื่องปัญหาคุณสมบัติของ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ซึ่งกรรมการ กสทช. 4 คนได้ลงนามในหนังสือส่งถึง น.ส.แพทองธาร เมื่อ 7 เดือนก่อนหน้านั้น แต่ก็ยังไม่เห็น น.ส.แพทองธาร ดำเนินการอย่างไรต่อ
ขณะที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดีอี ชี้แจงแทนนายกฯ ว่า อยู่ระหว่างยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตีความต่อคุณสมบัติของประธานกสทช.ว่าขัดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งนายรังสิมันต์ ได้ถามย้ำว่า ทำไมต้องส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีกฎหมายกำหนดอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบปัญหาของคุณสมบัติของ กสทช. และหลักฐานจากการตรวจสอบของกรรมาธิการวุฒิสภาก็ชัดเจนแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น วันที่ 25 มิ.ย.2568 น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ได้แถลงข่าวที่รัฐสภา ถึงปัญหาคุณสมบัติของประธาน กสทช. โดยย้ำว่า “หมอไห่” ขาดคุณสมบัติชัดเจนแล้ว ขนาดวุฒิสภาที่มาจากรัฐบาลรัฐประหารเหมือนกัน ก็ยังชี้ไปในรายงานว่าประธาน กสทช.คนนี้ขาดคุณสมบัติ เอาง่ายๆ ว่าพวกเดียวกันยังแบกไม่ไหว แต่ทุกวันนี้ประชาชนยังต้องจ่ายเงินเดือนให้ และให้นั่งตัดสินใจเรื่องที่สำคัญที่เป็นผลประโยชน์ของชาติหลักแสนล้านบาท
ถึงจะมีหลักฐานชัดเจนว่าขาดคุณสมบัติและโดนฝ่ายค้านกระทุ้งหลายรอบ แต่กระนั้น “หมอไห่” ยังอยู่ยงคงกระพันในตำแหน่งประธาน กสทช. ล่วงเลยมาถึงรัฐบาลที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา นายอนุทิน ได้โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัว Anutin Charnvirakul ขณะไปทาบทามนายบวรศักดิ์ อุวรรโณ ให้มาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลงานด้านกฎหมาย ก็ปรากฏว่ามีภาพของ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ นั่งอยู่ด้วย ซึ่งน่าจะถือเป็นการ “เปลี่ยนโปรย้ายค่าย” อีกครั้ง จากค่ายสีแดงมาอยู่ค่ายสีน้ำเงิน โดยอาศัยคอนเนกชั่นกับนายบวรศักดิ์ อุวรรโณ ซึ่ง “หมอไห่” ได้ลงนามแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาประจำประธาน กสทช.ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.2567 ช่วงที่ “หมอไห่” กำลังถูกตรวจสอบคุณสมบัติโดยคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา
นี่จึงเป็นข้อสงสัยว่า นายอนุทิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะกล้าดำเนินการให้ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ พ้นจากตำแหน่งประธาน กสทช. ตามหลักฐานผลการสอบของคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภาหรือไม่