xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงลุยไฟชิงทูลเกล้ายุบสภาทั้งที่มีปัญหาข้อกฎหมายและระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: รศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

รองศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์


การเมืองไทยกำลังเข้มข้นชิงไหวชิงพริบ บลัฟหรือเกทับกันไปมา พรรคส้มแสดงท่าทีประกาศว่าจะสนับสนุนพรรคน้ำเงิน ในขณะที่พรรคการเมืองสีแดงก็ปล่อยข่าวมาตลอดเวลาว่าจะรีบลุยไฟชิงทูลเกล้าฯ ยุบสภาผู้แทนราษฎร

เหตุการณ์ในช่วงสองวันมานี้หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นางสาวแพรทองทานชินวัตรพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะก็พ้นสภาพไปด้วย เป็นเพียงรัฐบาลรักษาการโดยมีนายภูมิธรรมเวชยชัย เป็นผู้รักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากคลิปลับสนทนาระหว่างสมเด็จเตโชฮุนเซนกับนางสาวแพทองธาร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีวินิจฉัยว่าผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นการตัดสินประหารชีวิตทางการเมืองของนางสาวแพทองธารไปตลอดกาล และมีแนวโน้มที่จะทำให้นางสาวแพทองธารจะไม่มีแผ่นดินอยู่ภายในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากจะต้องคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 หรือ 120 อันเป็นมาตราที่อยู่ในหมวดความมั่นคงภายนอกราชอาณาจักรเพราะมีการกระทำอันทำให้เสียดินแดนหรืออธิปไตยบางส่วนหรือเป็นการไขความลับของชาติให้กับอริราชศัตรูภายใต้สถานการณ์ภายในประเทศตึงเครียดและสงครามชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มีทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บล้มตายและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากมายนั้นทำให้การเมืองไทยถึงที่สิ้นสุดเต็มไปด้วยความวุ่นวายและไม่มีทางออกมากนัก

เมื่อพรรคประชาชนชิงแถลงที่รัฐสภา ก่อนเวลาเดิม 9:30 น. มาเป็นประมาณ 8:50 น ว่าจะลงมติสนับสนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและมีเงื่อนไข 5 ข้อ โดยข้อสุดท้ายคือพรรคประชาชนเองจะไม่เข้าร่วมเป็นคณะรัฐมนตรีโดยเด็ดขาด

ในเวลาไม่นานนั้นพรรคเพื่อไทยก็เริ่มแถลงว่าจะชิงลุยไฟชิงทูลเกล้าฯ ให้ยุบสภาในทันทีเพื่อตัดโอกาสไม่ให้พรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้สำเร็จ แม้จะเป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ตาม

ปัญหาอันอาจจะเกิดขึ้นจากกรณีลุยไฟชิงทูลเกล้าฯ ให้ยุบสภานั้นมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่หลายประการ

ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 103 ได้บัญญัติไว้ว่า
“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อมิให้เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกผู้สภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกาและให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”

การทูลเกล้าฯ ให้ลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้นนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ด้านข้อกฎหมายที่จำเป็นต้องมีการวินิจฉัย

อย่างไรก็ตามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 ได้บัญญัติไว้ว่า “บทกฎหมายพระราชหัตถเลขาและพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดินต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ”

ข้อกฎหมายที่จะต้องพิจารณานั้นมีอยู่ 2 ประเด็นแยกกัน

ประเด็นแรก ไม่มีเหตุจะต้องวินิจฉัยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 103 อย่างชัดเจนว่าการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ซึ่งไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น

ประเด็นที่ 2 นั้นเนื่องจากราชการแผ่นดินจะต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการหรือผู้ที่รับผิดชอบต่อผลการกระทำใดๆทั้งปวง เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ได้กำหนดไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้” อันเป็นหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์จงเป็นพระประมุขที่เรียกว่าพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้หรือ The king can do no wrong.

ดังนั้นผู้ที่ไปถวายคำแนะนำให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเพราะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในกรณีนี้คือรักษาการนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในทุกกรณีอันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และรัฐธรรมนูญมาตรา 182
สิ่งที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปคือ รัฐบาลรักษาการหรือนายกรัฐมนตรีรักษาการมีอำนาจในการทูลเกล้าฯ ให้ทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภาได้หรือไม่

รัฐบาลรักษาการ หมายถึง คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว (เช่น เพราะยุบสภา, เพราะครบวาระ, เพราะนายกฯ พ้นตำแหน่ง) แต่ยังต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีใหม่เข้ามารับหน้าที่

อำนาจของรัฐบาลรักษาการรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 169 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในระหว่างที่คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งแต่ยังอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปนั้น คณะรัฐมนตรีจะกระทำการเฉพาะเท่าที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน และไม่อาจกระทำการอันมีผลผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีที่จะเข้ามาใหม่ เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร”

การ "ยุบสภา" ถือเป็น การใช้อำนาจทางการเมืองครั้งใหญ่ และมีผลผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่โดยตรง ดังนั้น รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกราบบังคมทูลให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยุบสภาได้
รัฐบาลปกติ (ไม่ใช่รักษาการ) นายกรัฐมนตรีสามารถกราบบังคมทูลขอยุบสภาได้ รัฐบาลรักษาการ ไม่มีอำนาจยุบสภา เพราะเกินขอบเขตการ "ทำเท่าที่จำเป็น" ตามมาตรา 169

คำวินิจฉัย/แนวทางที่เกี่ยวข้องกับอำนาจของรัฐบาลรักษาการ
เมื่อพ.ศ. 2557 (รัฐบาลรักษาการ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) หลังจากมีการยุบสภาฯ เมื่อเดือนธันวาคม 2556 ศาลรัฐธรรมนูญมีหลายคำวินิจฉัยที่เกี่ยวกับขอบเขตอำนาจรัฐบาลรักษาการ เช่น เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ศาลชี้ว่า รัฐบาลรักษาการมีอำนาจจำกัด ทำได้เฉพาะเรื่องที่จำเป็น ไม่ใช่ใช้อำนาจเต็มเหมือนรัฐบาลปกติ การกู้เงินโครงการ 2 ล้านล้าน ศาลเห็นว่าเป็นการผูกพันรัฐบาลชุดต่อไป รัฐบาลรักษาการจึงไม่มีอำนาจ

รัฐบาลรักษาการ “ไม่ใช่รัฐบาลเต็ม” ทำได้แค่ ดำเนินราชการประจำ เพื่อไม่ให้ประเทศหยุดชะงัก
ห้ามใช้อำนาจเชิงนโยบายหรือการเมืองที่ผูกพันอนาคต เช่น การออกกฎหมายใหญ่ การกู้เงินผูกพันระยะยาว การแต่งตั้งโยกย้ายใหญ่ ๆ การ “ยุบสภา” เป็นการตัดสินใจเชิงนโยบายและทางการเมืองขั้นสูง จึงเกินขอบเขต

แม้ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้มีคำวินิจฉัย ตรง ๆ เรื่อง “รัฐบาลรักษาการยุบสภาได้หรือไม่” แต่จากแนววินิจฉัยที่ผ่านมาทั้งหมด การยุบสภาถือเป็น การเมืองเชิงนโยบาย ไม่ใช่การ “ทำเท่าที่จำเป็น”

รักษาการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจจำกัด ตามหลักกฎหมายมหาชน หากใช้อำนาจทูลเกล้าให้ยุบสภาจะเป็น Ultra Vires คือใช้อำนาจเกิน เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้ ไม่ใช่บอกว่า ไม่มีข้อห้ามให้รักษาการนายกรัฐมนตรีทำ ดังนั้นจึงทำได้

ถ้าเช่นนั้น รักษาการนายกรัฐมนตรี จะลุแก่อำนาจมากมาย

สำหรับรัฐบาล/หน่วยงานรัฐ รัฐสามารถทำได้เฉพาะสิ่งที่กฎหมายอนุญาตหรือมอบอำนาจให้เท่านั้น
หลักการคือ "Ultra Vires" - หากไม่มีกฎหมายรองรับ รัฐไม่มีอำนาจทำ การใช้อำนาจของรัฐต้องมีฐานกฎหมายที่ชัดเจน

แตกต่างจากสิทธิและเสรีภาพสำหรับประชาชน ประชาชนมีเสรีภาพทำทุกสิ่ง ยกเว้น สิ่งที่กฎหมายห้าม

หลักการคือ "สิ่งใดที่กฎหมายไม่ห้าม ก็ทำได้"

รัฐจะจัดเก็บภาษีใหม่ได้ ต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ ประชาชนจะเปิดร้านขายของได้ทันที เว้นแต่กฎหมายจะห้าม

รัฐมีอำนาจบังคับ ดังนั้นต้องถูกจำกัดอำนาจเพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขต ในขณะที่ประชาชนควรมีเสรีภาพสูงสุดในกรอบกฎหมาย

นี่เป็นหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญและกฎหมายมหาชนในระบอบประชาธิปไตย

Ultra Vires เป็นหลักการสำคัญในกฎหมายมหาชน รากศัพท์ Ultra Vires มาจากภาษาละติน Ultra = เกิน, เหนือ, เลย Vires = อำนาจ, กำลัง (พหูพจน์ของ "vis") รวมแล้วแปลว่า "เกินอำนาจ" หรือ "เลยขอบเขตอำนาจ"

การกระทำที่ Ultra Vires หมายถึงการใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด การกระทำที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย การกระทำที่เป็นโมฆะเพราะขาดอำนาจ

การประยุกต์ใช้ในกฎหมายมหาชน คำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกินอำนาจ = Ultra Vires ระเบียบของหน่วยงานที่ขัดกฎหมาย = Ultra Vires

การประยุกต์ใช้ในกฎหมายบริษัท การกระทำนอกวัตถุประสงค์บริษัท = Ultra Vires

การกระทำ Ultra Vires มักเป็นโมฆะ (void) สามารถฟ้องร้องเพื่อยกเลิกได้ ดังนั้นหากรักษาการนายกรัฐมนตรีนำเรื่องไปชิงทูลเกล้า ฯ ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร ก็มีเหตุที่พรรคภูมิใจไทยจะร้องให้ศาลมีวินิจฉัยได้

หลักการ Ultra Vires จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมการใช้อำนาจของรัฐและนิติบุคคล

จะเห็นได้ว่าประเด็นรักษาการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจจะทูลเกล้าให้ทรงยุบสภาได้หรือไม่นั้น ยังคงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ขัดแย้งกันเองมาก ศ.ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่ารัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจทูลเกล้าฯ แนะนำให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร

แต่นักวิชาการฝ่ายที่สนับสนุนระบอบทักษิณ หลายคน เช่น รศ. ชูศักดิ์ ศิรินิล และวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ มีความเห็นว่าทำได้

ถือว่าไม่เป็นที่สิ้นสุด และเรื่องใดที่ยังไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด ไม่เป็นการสมควรนำขึ้นไปกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าลงพระปรมาภิไธยเป็นอันขาด

ประเด็นสำคัญคือ การนำเรื่องสองเรื่องที่ขัดแย้งกันไปกราบบังคมทูลพระมหากรุณาฯ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธยหรือเรียกร้องให้มีพระบรมราชวินิจฉัย เป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เป็นอย่างยิ่ง ขั้นตอนอีกหลายขั้นตอนก่อนที่จะเสนอทูลเกล้าฯ ให้ลงพระปรมาภิไธยนั้นในการใช้พระราชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้นต้องเป็นไปอย่างรอบคอบเพื่อมิให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

จะให้พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชวินิจฉัย ว่าควรจะทรงยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร อย่างใด อย่างหนึ่ง เป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเป็นอย่างยิ่ง จะทำให้องค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในสถานะที่ลำบาก

หน่วยงานและผู้มีหน้าที่กลั่นกรองก่อนทูลเกล้าถวาย เป็นไปตามลำดับขั้นตอนดังนี้

หนึ่ง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่าควรเสนอเรื่องโปรดเกล้าให้ยุบสภาต่อไปหรือไม่?

สอง คณะองคมนตรี มีหน้าที่กลั่นกรองก่อนนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาเช่นกัน

สาม ราชเลขานุการในพระองค์/อธิบดีกรมราชเลขานุการ ก็มีหน้าที่กลั่นกรอง ก่อนจะรับผิดชอบรวบรวมนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา


สามหรือสี่หน่วยงาน ดังกล่าวข้างต้น มีหน้าที่กลั่นกรอง พิจารณาให้รอบคอบ ก่อนนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ให้ทรงใช้พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพราะมีทั้งปัญหาข้อกฎหมายและระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเป็นอย่างยิ่ง หากนำเสนอสองเรื่องขึ้นไปให้ทรงใช้พระบรมราชวินิจฉัย
คำถามสำคัญคือ ทำไมทักษิณ ชินวัตร หรือ ผู้ที่คาดว่าจะปฏิบัติตามทักษิณ ชินวัตรสั่ง คือ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี จึงพยายามลุยไฟชิงทูลเกล้าฯ ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่มีปัญหาข้อกฎหมายไม่เป็นที่ยุติสิ้นสุด และอาจจะเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต อันจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริตได้นั้น ทั้งยังระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

หนึ่ง หากยุบสภาได้สำเร็จ รัฐบาลนี้จะยังรักษาการไปได้อีกยาวนาน จนกว่าการจัดการการเลือกตั้งทั่วไปและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ การรักษาการและมีอำนาจรัฐในมือ มีความหมายกับทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างยิ่ง

สอง หากยังรักษาการ คดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในวันที่ 9 กันยายน ลงมา ซึ่งมีโอกาสสูงที่ทักษิณ จะต้องกลับเข้าคุก

หากทักษิณ คิดจะยอมติดคุก แล้วพ้นคุกออกมาเป็นฮีโร่ทางการเมือง การมีอำนาจรัฐในมือ จะช่วยอำนาจความสะดวกในระหว่างที่ถูกคุมขังได้ อาจจะได้ใส่กำไลอีเอ็ม หรือไปนอนที่บ้านผู้บัญชาการเรือนจำ ติดเครื่องปรับอากาศ สั่งอาหารจากโรงแรมห้าดาวมากินได้ เป็นต้น

หากทักษิณ คิดจะหนีคดี การมีอำนาจรัฐ จะช่วยให้หนีคดีได้สะดวก ช่องทางธรรมชาติต่าง ๆ จะเปิดกว้าง ทำให้การหนีคดีทำได้สะดวกขึ้น

ในทางตรงกันข้าม หากการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยทำได้สำเร็จ ชีวิตของทักษิณ ชินวัตร หลังวันที่ 9 กันยายนนี้ก็จะเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่ง

สาม การยังคงรักษาอำนาจรัฐ ทำให้สามารถเร่งคดีที่เป็นบาดแผลของศัตรูทางการเมืองได้ เช่น คดีฮั้วเลือกตั้ง สว. คดีเขากระโดง เป็นต้น ตลอดจนใช้อำนาจในการปูนบำเหน็จรางวัลให้กับผู้ที่สร้างคุณประโยชน์ให้ตนเองได้ เช่น เลื่อนนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. เลื่อนผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่มาจากแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจไปเป็น รอง ผบ.ตร. ได้ ดังนั้นการยุบสภาได้สำเร็จแล้วรักษาการไปยาว ๆ จะเป็นประโยชน์ยิ่งต่อระบอบทักษิณ ในการปูนบำเหน็จ ปกป้องพวกพ้อง และทำลายศัตรูทางการเมือง

สี่ การยุบสภาทำให้รักษาการไปยาวๆ ทำให้สามารถเร่งใช้งบประมาณเพิ่งผ่านสภาฯ ไปได้ ทำให้สามารถทุจริตและแสวงหาผลประโยชน์เพื่อนำไปใช้ในทางการเมืองและการเลือกตั้งได้

ห้า การเป็นรัฐบาลรักษาการ ไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ทำให้ถืออำนาจรัฐ ได้เปรียบในการเลือกตั้งได้อีก

หก ทักษิณ ชินวัตร เองเคยกล่าวว่า ถ้าผมไม่มีความสุข คนอื่นก็ไม่ต้องมีความสุข ประเทศไทยก็ไม่ต้องมีความสุข อันนี้เป็นลักษณะนิสัยส่วนตัวของทักษิณ ชินวัตรเอง เมื่อตนเองไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็คิดว่าศัตรูทางการเมืองอย่างภูมิใจไทย ก็ไม่ควรเป็นรัฐบาล ทำนองว่า หากกูตาย มึงต้องตายตกไปตามกูด้วย อันเป็นความคิดของผู้มีจิตใจต่ำ คับแคบ

หกสาเหตุนี้ ทำให้พยายามชิงทูลเกล้า ฯ ให้ทรงยุบสภา ทั้งๆ ที่มีปัญหาข้อกฎหมาย ผู้ทำเรื่องนี้คือ ภูมิธรรม ก็จะมีปัญหาทางกฎหมายในภายหลัง ทั้งยังเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเป็นอย่างยิ่ง เป็นการบังคับให้องค์พระมหากษัตริย์ต้องทรงใช้พระบรมราชวินิจฉัยทรงเลือกระหว่างยุบสภาหรือเปิดประชุมสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี อันเป็นการไม่บังควรเป็นอย่างยิ่งด้วยประการทั้งปวง


กำลังโหลดความคิดเห็น