ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จับตาไม้เด็ด "ดีเอสไอ" ทวงคืนเขากระโดง "เนวิน" มีหนาว
เมื่อปม "เขากระโดง” อยู่ในมือ "ดีเอสไอ" งานนี้ไม่ใครก็ใครก็ต้องมีหนาว!
ฟังว่า หลังจาก “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” อธิบดี ดีเอสไอ สั่งเดินหน้าสืบสวนกรณี ที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ และ เตรียมขยับเข้าสู่การเป็น “คดีพิเศษ” อย่างเป็นทางการ ข้อมูลที่มีตอนนี้ ทั้งจากการรถไฟฯ ทั้งแผนที่ พ.ร.ฎ.ปี 2465 และการรังวัด GPS บ่งชี้ และตอกย้ำว่า ที่ดินกว่า 5,000 ไร่ เป็นของรัฐแน่นอน !
วงในระบุว่า ที่ “ดีเอสไอ” มั่นใจเพราะศาลฎีกาได้ระบุว่า พื้นที่ทั้งหมดเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
และที่ชัดเจนที่สุด คือ คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ซึ่งได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า “ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ” และที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟ ที่มีไว้ใช้เพื่อราชการตาม พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟ และทางหลวง พ.ศ. 2464
ประการสำคัญ ช่วงท้ายของคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่ระบุว่า “เนื่องจากที่ดินทั้งหมดเป็นที่ดินของรัฐ ไม่ได้ผูกพันเฉพาะคู่ความตาม มาตรา145 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.)”
กล่าวคือ คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลที่เกี่ยวกับที่ดินของรัฐนั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะคู่ความในคดีนั้น แต่สามารถมีผลบังคับใช้ในวงกว้างกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือมีผลผูกพันกับที่ดินนั้นได้ด้วย
ประเด็นนี้ เป็นประเด็นที่ฝ่ายกฎหมายของ "เนวิน ชิดชอบ" และพรรคภูมิใจไทย พยายามหลบเลี่ยง ไม่ได้มีการกล่าวถึง!
ขณะที่เรื่องแผนที่ของการรถไฟ โดยเฉพาะเรื่องมาตราส่วน 1:4000 ก็มีความถูกต้องแล้ว เพราะแผนที่ท้ายประกาศของแผนที่การรถไฟ พ.ศ. 2465 ...ระบุเป็นมาตราส่วน 1:4000
แต่ที่ทนายความฝ่ายเนวิน ยกมากล่าวอ้าง แผนที่ที่การรถไฟเอามานั้น มาตราส่วนผิด ซึ่งข้อมูลของดีเอสไอ ยืนยันว่าไม่ผิดแต่อย่างใด
งานนี้ "ตะแบง" หรือจะสู้ความจริง!!
แถมเมื่อปี 2567 กรมที่ดิน และการรถไฟฯ ได้มีการรังวัดร่วมกัน โดยใช้ GPS ซึ่งส่วนนี้สำคัญที่สุดที่จะใช้ยืนยันแนวเขตการรถไฟได้
เรียกว่า เถียงคอเป็นเอ็น ก็ไม่มีน้ำหนัก กระบวนการนี้หากไปถึงปลายทาง คือการฟ้องร้อง นับว่าคนที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองต้องมีอาการ “ขนลุก” โดยเฉพาะนักการเมืองชื่อดังอย่าง “เนวิน ชิดชอบ” และเครือข่ายการเมืองบุรีรัมย์ ที่เลี่ยงไม่ออก ว่ามีเอี่ยว!
ยิ่งไปกว่านั้น ไหนๆ พูดถึง "ทนาย" และฝ่ายกฎหมายของเนวินเลือกใช้ ก็มีประเด็นของ “ชนินทร์ แก่นหิรัญ” อดีตประธานอนุกรรมการด้านกฎหมายและสัญญา รฟท.มานั่งเป็นทนายแก้เกมให้ ทั้งที่เจ้าตัวเคยเป็น “วงใน” รฟท. มาก่อน
งานนี้เสียงวิจารณ์ดังสนั่นว่า เข้าข่าย “ผิดมารยาททนายความ” ตามข้อบังคับสภาทนายความ หมวด 3 ข้อ 13 แบบตรงเป๊ะ เพราะเคยรู้ข้อมูลฝ่ายหนึ่ง แล้วมารับว่าความให้อีกฝ่ายที่เป็นคู่กรณีเสียเอง
วงในกระซิบว่า การเลือกใช้ทนายคนนี้ อาจเป็น “การตอบแทนบุญคุณ” ในยุคที่พรรคภูมิใจไทย คุมกระทรวงคมนาคม จน “ชนินทร์” ได้เก้าอี้ใหญ่ในหลายองค์กรรัฐวิสาหกิจ ไล่ตั้งแต่ รฟท. จนถึงการท่าเรือฯ … แต่พอถึงคราวต้องช่วยจริงๆ เลยยอม “ฝ่าฝืนมารยาท” เพื่อปกป้องพี่ใหญ่บุรีรัมย์!
สรุปเรื่องเขากระโดง มาถึงตรงนี้ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องเล็ก ทั้งคดีพิเศษ ทั้งเรื่องมารยาททนายความ ถ้าดำเนินไปตามขั้นตอน คนที่เคยยืนหนึ่งในอีสานใต้ อาจต้อง “หนาว ๆ ร้อน ๆ”... งานนี้โปรดอย่ากระพริบตา!!
++ โฆษกรัฐบาลหน้าแหก โดดงับลอบบี้ยิสต์ ที่อ้างเป็นนักข่าวจากทำเนียบขาว มาทำข่าวชายแดนไทย
กรณีสำนักข่าวของกัมพูชา ได้รายงานข่าวของ “ไมเคิล อัลฟาโร” (Michael A Alfaro) ชาวสหรัฐฯ ที่ไลฟ์สดชายแดนกัมพูชา-ไทย ด้วยการเซ็ตฉาก บิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาด้วยถ้อยคำที่รุนแรง หาว่าไทยรุกล้ำดินแดน กีดกันไม่ให้ชาวกัมพูชาเดินทางเข้าออกบ้านเรือนของตัวเอง ซึ่งต่อมาข่าวดังกล่าวได้ถูกลบไปแล้ว
“ไมเคิล” อ้างว่าเขาเป็นนักข่าวด้านความมั่นคง จากทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา จะนำความจริงเหล่านี้ไปรายงานต่อ ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”
เมื่อ“จิรายุ ห่วงทรัพย์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) พอได้ฟังว่า“ไมเคิล” เป็นนักข่าว มาจากทำเนียบขาว เข้าถึงตัว “ทรัมป์” ได้ แต่ดันไปยืนข้างกัมพูชามาใส่ร้ายประเทศไทย ก็พรวดพราดจะชิงตัว เหมือนกลัวโดนใครตัดหน้า
รีบประกาศออกไปว่า ขอเชิญ “ไมเคิล” ให้เดินทางมาที่ประเทศไทย ค่าใช้จ่ายต่างๆ ตนจะออกให้เอง ไม่ว่าจะเป็นค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรม ค่าเดินทาง อาหารการกินต่างๆ ทุกอย่างฟรีหมด
และตนเองจะเป็นไกด์พาทัวร์ชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด อันดับแรกจะพาไปเยี่ยมทหารไทย ที่ถูกกับระเบิด ที่ยังรักษาตัวอยู่ จากนั้นจะพาไปที่บริเวณจุดที่มีการวางกับระเบิด เป็นจำนวนมาก เพื่อให้ “ไมเคิล” ได้ไลฟ์สดๆ กลางทุ่งกับระเบิด จะได้เห็นกับตาว่า สิ่งที่เห็นในฝั่งกัมพูชา กับสิ่งที่เกิดฝนฝั่งไทย มันเป็นหนังคนละม้วน
หลังพาไปเช็กอินที่ทุ่งกับระเบิดแล้ว จะพาไปดูโรงพยาบาล ที่ถูกกองทัพเขมรถล่มด้วยจรวด BM-21 ไปดูร้านเซเว่นฯ ในปั๊มปตท. ไปดูบ้านเรือนประชาชนที่เสียหาย และอีกหลายพื้นที่ตามแนวชายแดน ที่มีความเสี่ยงสูง
“จิรายุ” คงวาดหวังว่า ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่จินตนาการไว้ เมื่อ “ไมเคิล” ได้เสนอข่าวออกไปให้ชาวโลกได้รับรู้ นี่ถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของตัวเขา ที่เป็นคนเชิญนักข่าวคนนี้มา
“ขอให้ ไมเคิล รีบตอบรับ จะได้จองตั๋ว จองโรงแรม พร้อมจัดแพกเกจทัวร์ชายแดน ให้ได้มาไลฟ์สดฝั่งไทยบ้าง จะได้รู้แจ้งเห็นจริง กับการกระทำของกัมพูชาที่ผ่านมา ต่อเป้าหมายพลเรือนคนไทย” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย
เมื่อ “จิรายุ”ประกาศออกไป พอ“ไมเคิล” รู้ข่าว ก็รีบโพสต์เฟซบุ๊กตอบกลับมาว่า ... “ขณะนี้ผมประจำการอยู่ที่กัมพูชา แต่เพิ่งได้รับคำเชิญจากรัฐบาลไทย ให้เดินทางไปรับฟังเรื่องราวจากมุมมองของพวกเขาโดยตรง
ในฐานะนักข่าว ภารกิจของผมคือ การเปิดเผยความจริงเบื้องหลังความขัดแย้งชายแดนครั้งนี้ทั้งสองฝ่าย และรายงานตรงต่อชาวอเมริกัน และทั่วโลก
หลังจากพบปะกับเจ้าหน้าที่ไทยแล้ว ผมจะกลับไปพร้อมข้อมูลที่ผมพบ และสรุปให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ ฟัง เพื่อที่ท่านจะได้ตัดสินใจอย่างรอบด้าน เกี่ยวกับวิธีการที่จะก้าวไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างกัมพูชา-ไทย
ขณะเดียวกัน ในโซเชียลฯ ทัวร์ก็ไปลงที่ “จิรายุ” ชนิดตั้งรับแทบไม่ทัน ทั้งจากประชาชนคนทั่วไป ทั้งนักข่าวไทย สำนักข่าวในไทย ที่เห็นว่าตนเองถูก “โฆษกรัฐบาล” มองข้าม แบบไม่เห็นคุณค่า !!
อย่างเช่น เพจ Drama-addict หรือ "จ่าพิชิต ขจัดพาลชน" เห็นความอ่อนเชิงของโฆษกรัฐบาล ก็ทนไม่ไหว แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ที่ “ไมเคิล” อ้างว่าตัวมันเป็นสื่อ ทั้งที่มันไม่ใช่นักข่าว เป็นแค่ลอบบี้ยิสต์ ไปให้แสงมันทำไม มันไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย แล้วมันไม่ได้มีบทบาทหน้าที่ในทำเนียบขาว อะไรเลย ที่มันอ้างว่าจะไปฟ้อง ทรัมป์ นี่แม่งก็ขี้โม้เห็นๆ จริงๆ เรื่องนี้ แค่ไปเชิญนักข่าวมืออาชีพที่น่าเชื่อถือมาดูข้อเท็จจริง ก็จบแล้ว
เอาเป็นว่าในเมื่อมันรับคำเชิญของ จิรายุ ถ้ามันมาไทย แล้วมาพูดบิดเบือนป้ายสีประเทศเรา หรือออกจากไทยไปแล้วไปพูดเท็จ ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ เหมือนตอนมันไลฟ์สดกับฝั่งเขมร คุณและรัฐบาล ต้องรับผิดชอบนะครับ เพราะเป็นคนเชิญมันมาเอง
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีนักขุดในโซเชียลฯ เอาข้อมูลออกมาแฉให้เห็นกันจะว่า “ไมเคิล อัลฟาโร” นั้นไม่ใช่นักข่าวสายความมั่นคงของทำเนียบขาว แต่เป็น “ล็อบบี้ยิสต์” เป็นเจ้าของบริษัทพีอาร์ ชื่อ Capitol Hill & Friends LLC เพิ่งก่อตั้งในปี 2025 บริษัทมีพนักงานแค่ 2 คน และเพิ่งรับงานแค่ 2 งาน
“ไมเคิล” ถูกจ้างมาเพื่อสร้างภาพให้กัมพูชา ว่าถูกไทยรุกราน เมื่อเขาเดินทางมาถึง พนมเปญ ก็มีคนของรัฐบาลกัมพูชาไปต้อนรับ จากนั้นก็ได้เข้าพบรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีกหลายคน ก่อนที่จะลงพื้นที่ ไปไลฟ์สดทางโซเชียลฯ ที่บริเวณบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ตามด้วยพื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี โดยให้ข้อมูลด้านเดียว เพื่อโจมตีประเทศไทย
หลังถูกชาวโซเชียลฯ เอาข้อมูลกรอกใส่หัว “จิรายุ” ก็เริ่มตาสว่าง ออกมาแก้เกี้ยวว่า รู้แล้ว ว่า “ไมเคิล” ไม่ใช่ผู้ประกาศข่าวทางการของทำเนียบขาว ที่ “ไมเคิล” มารายงานข่าวที่ชายแดนกัมพูชานั้น เป็นการได้รับเชิญจาก นายซอน โซเพียบ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทพีอาร์ ให้กับรัฐบาลกัมพูชา โดยเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายทุกดอลลาร์ ตลอดทริป พร้อมทั้งจัดฉากให้ “ไมเคิล” ไปทำคลิปไลฟ์สดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขัดต่อข้อตกลง GBC ที่ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะไม่ปล่อยข่าวโกหก หรือ เฟกนิวส์!
ก่อนจะทิ้งท้ายว่า เมื่อรู้ว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ก็ขอบอกผ่านไปถึง “ไมเคิล” ว่า "จบข่าว" ไม่ต้องมาเหยียบแผ่นดินไทย!
เป็นอันว่า “จิรายุ” จำต้องยอมหน้าแตก!!
ก็อย่างว่าแหละ ผลงานในฐานะโฆษกรัฐบาลที่ผ่านมา ก็มีหน้าที่แค่คอยคิด ประดิษฐ์วาทกรรม เพื่ออวยนายกฯอิ๊งค์เท่านั้น พอมีเรื่องชายแดน ที่ต้องตอบโต้ด้วยเหตุด้วยผล ตามหลักสากล ก็เลยเหมือนอมสาก
ไม่อย่างนั้น ศูนย์บัญชาการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. คงไม่ต้องให้ “เจ๊บุ๋ม-ปนัดดา” มาเป็นโฆษกอาสา คอยโต้ตอบ “มาลี โสเจียตา” โฆษกกลาโหมของกัมพูชา อย่างที่เห็น ๆ กัน