เมืองไทย 360 องศา
หลายคนมีความคิดตรงกันว่า ในเวลานี้หาก “ด้อมส้ม” กับ “ด้อมแดง” ผนึกกำลังกัน หลังการเลือกตั้งรับรองว่า “พลังจะมหาศาล” ย่อมทำลายสิ่งกีดขวางได้ทุกอย่าง แต่นั่นไม่ใช่ความจริง เพราะความจริงก็คือ พรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย นั้นเป็น “คู่แข่ง” กันอย่างแท้จริง แม้ว่าจะ “เริ่มแข่ง” กันมาไม่นานก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่า นี่แหละคู่ต่อสู้ของจริง และจะดุเดือดรุนแรงยิ่งกว่าในยุค “เหลือง-แดง” เสียอีก เพียงแต่ว่าในยุคสมัยใหม่จะมาในลักษณะ “สงครามทางโซเซียลฯ” และสงคราม “ไอโอ” ที่ถือว่าคู่คี่ สูสีทีเดียว
เวลานี้สำหรับคอการเมืองย่อมมองออกอยู่แล้วว่า แนวโน้มการขับเคี่ยวกันระหว่างทั้งสองพรรค และบรรดาผู้สนับสนุนต่างเข้มข้นขึ้นทุกที และเข้มข้นแม้กระทั่งในองค์กรเดียวกัน แต่ “ต่างขั้ว” ก็ห้ำหั่นกันแล้ว ดังนั้น หากพิจารณาจากแนวโน้ม และสถานการณ์แบบนี้ มันก็เชื่อได้แน่นอนว่า อีกไม่นาน หรืออีกไม่กี่วันเท่านั้นก็จะถึงคราว “แตกหัก” เพียงแต่ว่าระหว่างนี้ต่างฝ่ายต่างรอจังหวะทำแต้ม กดฝ่ายตรงข้ามก่อนชิ่งจากกันไปอยู่กันคนละขั้ว
พูดไปอาจไม่มีใครเชื่อว่า พรรคก้าวไกล นี่แหละที่ทำให้ “เหลือง-แดง” หันมาจับมือกัน และยังเชื่อว่า ในการเลือกตั้งคราวหน้า พรรคเพื่อไทยนี่แหละจะเป็นหัวหอกและแกนนำในฝ่าย “อนุรักษนิยม (ใหม่)” สู้กับฝั่งก้าวไกล ที่มุ่งทำลายโครงสร้างเดิม ขณะเดียวกัน ก็จะมีการเปิดทางให้ นายทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านในแบบที่มาติดคุกแบบ “พอเป็นพิธี” กลับมาใช้ชีวิตในบั้นปลาย
หากย้อนกลับมาโฟกัสทั้งสองพรรคอีกครั้ง เวลานี้ก็เริ่มเห็นสัญญาณชัดขึ้นแล้วว่า “ใกล้แยกทาง” กันเต็มทนแล้ว ฟังคำพูดล่าสุดของ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ที่ถือว่า เป็น “สายตรงของเจ้าของพรรค” ตัวจริง ตามที่เข้าใจกัน อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าว ทำให้เข้าใจว่า ขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยว่าจะพูดออกมาเมื่อไหร่เท่านั้น และเป็นการพูดหลังจากที่พรรคเพื่อไทย ยกเลิกการประชุม 8 พรรค
นายชัยธวัช กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากเพื่อไทย ว่า ภารกิจที่ได้รับมอบหมายมีไม่มากเท่าที่ควร ส่วนจะมีการนัดหมายกันอีกครั้งเมื่อไร ทางพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้แจ้ง
เมื่อถามว่า ตอนนี้เริ่มมีท่าทีอย่างพรรคไทยสร้างไทย ออกมาพูดว่าไม่สนับสนุนให้แก้ ม.112 จะถือเป็นสัญญาณอะไร หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่ เพราะสิ่งที่เราได้คุยกันมาโดยตลอดตั้งแต่ทำ MOU ก็คือ ม.112 ไม่ได้เกี่ยวข้องในการร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว
ส่วนกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขอให้เพื่อไทยเป็นแกนนำ ทำ MOU ใหม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ขอให้รอฟังพรรคเพื่อไทยดีกว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทย ยังไม่ส่งสัญญาณมา
ส่วนพร้อมหรือไม่ หากมีการทำ MOU ใหม่นั้น ก็ต้องไปดูในรายละเอียด ตนคิดว่า การที่พรรคเพื่อไทย ขอเลื่อนประชุม สะท้อนว่า มีการพยายามหาทางออกให้ดีที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน และตอนนี้ทางฝั่งตนได้พูดคุยกับทาง ส.ว.ที่คราวที่แล้วยังไม่ได้โหวตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งตอนนี้ก็มีสัญญาณจากหลายคนว่า พร้อมจะโหวตให้หากมีการเปลี่ยนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้พรรคเพื่อไทยทำทุกอย่าง หรือทางฝั่งพรรคก้าวไกล ต้องมีเงื่อนไขอะไรไปแลกหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า การประชุม 8 พรรคครั้งที่แล้ว พรรคก้าวไกลได้ส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยได้ให้พรรคเพื่อไทย หาแนวทางออกมานำเสนอในที่ประชุม
ถามย้ำว่า ยังไว้ใจพรรคเพื่อไทย หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังมีความไว้วางใจ ส่วนจะต้องบอกกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ว่า ไม่เอาพรรคสองลุง นายชัยธวัช กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยก็น่าจะทราบจากข่าวอยู่แล้วว่า มติที่ประชุม ส.ส.เป็นอย่างไร ทั้งนี้ พรรคก้าวไกล ยังยึดมั่นในเป้าหมายสำคัญที่สุด คือ การพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้พื้นฐานของ 8 พรรคการเมือง ให้สำเร็จตามเจตจำนง ที่ประชาชนได้ให้ไว้แล้วภายหลังการเลือกตั้ง
ส่วนการร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยนั้น ก็คงต้องให้ความเป็นธรรมกับพรรคเพื่อไทยด้วยว่า พรรคเพื่อไทยแม้จะมีการเชิญมาพูดคุยกัน แต่ไม่ใช่เชิญมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพียงแต่เป็นการรับฟังความคิดเห็น
ถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญ มีการตอบรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน จะเป็นแนวทางในการโหวตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องพูดว่า พรรคก้าวไกล มีจุดยืนมาโดยตลอดว่าอะไรที่เป็นอำนาจของสภาอยู่แล้ว เราก็ไม่เห็นด้วยกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจเหนือสภา เพราะสภามีอำนาจเต็มหลายๆ เรื่อง ยกเว้นกรณีที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญมาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นการให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญมาชี้ว่า สภาทำอะไรได้ หรือไม่ได้ เรามีจุดยืนมาโดยตลอด จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมส.ส.ก้าวไกล ถึงไม่ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีคนแนะนำเยอะมาก และเชื่อว่า สภายังคงมีทางออก หากศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้อง สามารถใช้ระบบสภามาหารือร่วมกันได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ช่องทางศาลรัฐธรรมนูญ เท่านั้น
กรณีมีข้อเสนอให้รอการเลือกนายกรัฐมนตรีออกไป 10 เดือน หลัง ส.ว.หมดวาระ นายชัยธวัช ระบุว่า เป็นการแสดงออกถึงว่า มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่รอได้ แต่ 10 เดือน มันอาจจะนานเกินไป ทางที่ดีควรมีทางออกโดยที่ไม่ยืดเวลาออกไปนานขนาดนั้น ซึ่งการปลดล็อกข้อบังคับที่ 41 จะช่วยได้มาก
“ตราบใดที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลจับมือกันแน่น รัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่มีทางเกิดขึ้น และถึงที่สุด ส.ว.อาจจะมีวิจารณญาณทำตามเสียงประชาชน”
ฟังจากคำพูดดังกล่าวของนายชัยธวัช ตุลาธน มันก็เหมือนกับการแสดงท่าทีให้เห็นว่า ระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทยนั้นใครจะ “อึด” กว่ากัน เพราะรับรู้กันอยู่แล้วว่า หนทางข้างหน้ามันไม่มีทางไปด้วยกันได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าใครจะสามารถสร้างเงื่อนไขให้เป็น “คนทรยศ” ได้ก่อนกัน
แต่เวลานี้ ก็เริ่มเห็นได้ชัดว่า ก้าวไกลกำลังเจอแรงกดดันกลับมามากกว่า เพราะภาพที่ดึงดันไม่ถอย มาตรา 112 ทำให้ไปต่อไม่ได้ จนถูกมองว่าทิ้งความหวังของประชาชนในหลายนโยบายสำคัญที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจปากท้อง กลับไปเน้นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการ!!