xs
xsm
sm
md
lg

“พิธา” ถึงทางตัน 8 พรรค ส่อวงแตก !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พิธา  ลิ้มเจริญรัตน์ - ภูมิธรรม เวชยชัย
เมืองไทย 360 องศา

จะว่าไปมันก็ถือว่า นี่คือ “ความจริง” ที่ปฏิเสธไม่ได้ หรือจะเรียกว่า “หลอก” กันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอ็มโอยู ที่ประกาศว่าจะรวมตัวกันของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ให้เหนียวแน่นตลอดไป เพื่อให้ความหวังของประชาชนเป็นจริงนั้น แท้ที่จริงแล้วล้วนเป็นเรื่องไม่จริง และไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะทั้งสองพรรคสถานะที่แท้จริงแล้วมันเป็น “คู่แข่ง” กัน ไม่ใช่เป็นพันธมิตรทางการเมือง

เพียงแต่ว่าความเป็นคู่แข่งที่ว่านั้นมันเพิ่งเกิดขึ้นในแบบกะทันหัน และคาดไม่ถึง เพราะมันมาเร็วแบบเหลือเชื่อ จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี่เอง และพรรคที่ต้องสูญเสียงมวลชนออกไปให้กับพรรคก้าวไกล ก็ล้วนไปจากเพื่อไทยเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป หรือในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งสองพรรคนี้จะต้องขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ทั้งในและนอกสภา ซึ่งเวลานี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วในสังคมโซเชียลฯ และในสื่อทีวีที่แต่ละฝ่ายต่างก็ถือหางคนละพรรคเรียกว่า “ซัดกันเละ” อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเวลานี้อาจจะหันเหไปทาง ส.ว.ที่ไม่ยอมโหวตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตจากพรรคก้าวไกล ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง

เมื่อวกกลับมาที่สถานการณ์ของพรรคก้าวไกล และ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้มาถึง “ทางตัน” แบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่มีแม้ปาฏิหาริย์ใดๆ ที่เขาจะได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีไปได้ เมื่อพิจารณาจากเสียงของ ส.ว.ที่โหวตให้แค่ 13 เสียง จากที่ต้องการถึง 65 เสียง และล่าสุด พรรคก้าวไกลยังมีความเคลื่อนไหวแบบ “ย้อนแย้ง” นั่นคือ มีการเร่งรีบเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. อย่างถาวร ขณะที่ในวันที่ 19 กรกฎาคม นี้ จะมีการประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตนายกฯ อีกรอบ และนายพิธา (อาจ) มีสิทธิลุ้นได้รับการเสนอชื่อขึ้นมาอีกรอบ หากพรรคร่วมที่เหลืออีก 7 พรรค เห็นชอบ ซึ่งไม่ว่ามองในมุมไหนมันตีบตันมืดมนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย ส.ว.ที่ยังยืนกรานไม่เอา และขัดขวางทุกวิถีทาง

แต่ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ก็คือ ท่าทีของพรรคร่วมด้วยกันเองอย่างน้อยสองพรรค คือ เพื่อไทย กับ เสรีรวมไทย ที่เริ่ม “ไม่เอาด้วย” กับแนวทางของพรรคก้าวไกล ที่เคลื่อนไหวแบบ “ปิดกั้น” ตัวเอง จนมีข้อจำกัดเดินต่อไปไม่ได้

สำหรับท่าทีของพรรคเพื่อไทย ที่นับวันดูแข็งกร้าวแบบไม่เกรงใจมากขึ้นทุกที เริ่มจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค ที่เตือนให้พรรคก้าวไกล และ นายพิธา ยืนอยู่บนความเป็นจริง โดยเขาทวีตข้อความ ภูมิธรรม เวชยชัย @phumtham ช่วงกลางดึกวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ระบุว่า แก้ รธน. ม.272 เพื่ออะไร ทั้งที่รู้ว่าไม่สำเร็จ และยากกว่าที่เสนอ “พิธา” เป็นนายกฯ เพียงเพื่อต้องการถ่วงเวลาและแสดงสัญลักษณ์ว่าได้ต่อสู้แล้ว แต่ไม่นึกถึงวาระประเทศ และ วาระประชาชนที่กำลังวิกฤต และทุกข์ยาก อยู่กับความจริง และแก้ปัญหาจากความจริงดีกว่า

จากนั้นเขาก็ได้กล่าวที่พรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ก่อนที่จะมีการประชุมกับพรรคก้าวไกล ถึงกรณี นายพิธา ออกมาให้ความเห็นจะต่อสู้ใน 2 สมรภูมิ คือ การโหวตนายกฯ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ว่า ไม่เข้าใจว่าสิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการเปิดสมรภูมิใหม่ของพรรคก้าวไกล เป็นการเสนอประเด็นที่อยู่นอกเหนือเอ็มโอยู ที่ 8 พรรคเซ็นร่วมกัน การเสนอเรื่องนี้ และบอกว่า จะต่อสู้จนกว่าจะประสบความสำเร็จ จนไม่สามารถไปได้แล้ว แล้วจะมอบอำนาจให้กับพรรคอันดับ 2

“การพูดเช่นนี้ฟังดูดี แต่ทั้ง 2 ประเด็น ยากลำบากและไม่มีกรอบเวลาชัดเจน การแก้ไขมาตรา 272 เราเคยพูดแล้วว่าเป็นได้เพียงสัญลักษณ์ ไม่ได้รับชัยชนะ แต่การเร่งตั้งรัฐบาลจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่พรรคเพื่อไทย ได้เสนอเป็นนโยบายไว้ว่า จะแก้ทั้งระบบ นี่ถือเป็นวาระสำคัญ แต่การเปิดวาระใหม่ของพรรคก้าวไกล เป็นการเสนอนอกเหนือ เอ็มโอยู ผมเห็นว่าการที่ นายพิธาและพรรคก้าวไกล นำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชน จึงคิดว่ามันไม่ใช่วาระของทั้ง 2 พรรค เราตกลงกันว่าจะกลับไปคุยในพรรคตัวเอง แต่ที่นายพิธา ออกมาพูดเช่นนี้ เหมือนมัดมือชกเรา เราจึงจำเป็นต้องออกมาพูดความจำเป็น และความเป็นจริงให้ทราบ”

“วันนี้อยากให้เปิดใจให้กว้าง แล้วเอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง วาระประเทศเป็นที่ตั้งถูกต้องหรือไม่ การที่ นายพิธา พูดว่า เวลานี้ อนาคตของพรรคก้าวไกล และอนาคตของประชาชน อยู่ในมือของประชาชนแล้ว ผมคิดว่าอย่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน วันนี้ประเทศชาติและปัญหาประชาชนอยู่ในมือพรรคก้าวไกล และนายพิธา จึงต้องหยิบเอาปัญหาและวาระของประชาชนเป็นที่ตั้งแล้วตัดสินใจ ถ้าการตัดสินใจครั้งนี้ผิดพลาด ปัญหาประชาชนจะลำบากต้องอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ไปอีกนาน และจะรักษาการไปเรื่อยๆ แต่ถ้าตัดสินใจถูกต้อง ปัญหาจะคลี่คลาย อยากให้นายพิธา และพรรคก้าวไกล นำไปคิด”

ถามว่า ได้คิดเรื่องการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯ ไว้บ้างหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีแผนสำรอง แผนแรกแผนเดียว เราอยากจับมือกับ 8 พรรคร่วม เดินหน้าไปให้ถึงที่สุด แต่ต้องมีคำตอบที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้มีการเลือกไปเรื่อยๆ โดยที่ประเทศไม่รู้ว่าทางออกจะเป็นอย่างไร เรารอไปถึงต้นปีหน้าไม่ได้ เพราะปัญหาประเทศตอนนี้รุนแรงมาก ไม่ต้องห่วงเรื่องแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีแคนดิเดตอยู่แล้ว 3 คน หากวันไหนชัดเจนให้พรรคเพื่อไทยเสนอ เราสามารถเสนอได้ แต่ไม่ใช่วาระสำคัญ เราไม่คิดเรื่องนี้ก่อน เราคิดถึงการหาทางออกให้กับประเทศ โดย 8 พรรคการเมืองเสนอนายพิธา ถ้าไม่ได้จะมีวิธีไหนที่ 8 พรรค จะดำเนินการร่วมกันให้ชนะ

นั่นเป็นคำพูดของนายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคเพื่อไทยที่เป็นสายตรงและเป็นคนเจรจากับพรรคก้าวไกลแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคก้าวไกลในเรื่อง “การต่อสู้ในสองสมรภูมิ” ว่า เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้และเหมือนกับการ “จับประชาชนเป็นตัวประกัน”

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ก็ออกมาวิจารณ์พรรคก้าวไกลตรงๆ ว่าเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบสร้างข้อจำกัดให้ตัวเอง ทำให้เกิดทางตัน และยังฟังบรรดา “ด้อมส้ม” มากเกินไปจนเสียการณ์ใหญ่ พร้อมทั้งเปิดทางให้ดึงพรรคอื่นเข้ามาร่วม และยอมรับได้หากเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลเดินหน้าได้

เมื่อบรรยากาศพรรคร่วม 8 พรรค ส่อเค้าตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ และพรรคก้าวไกล ใช้คำว่ากำลังต่อสู้ใน “สองสมรภูมิ” ที่เดินหน้าเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป พร้อมๆ กับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.ที่มีเจตนาเหมือนกับว่า ต้องการ “ป่วน” และพร้อมดีดตัวออกไปเป็นฝ่ายค้านในท้ายที่สุด ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็รู้ทัน และรีบออกมาดักคอทันทีว่าเป็นการ “จับประชาชนเป็นตัวประกัน” ทำให้เชื่อว่า วงสนทนาระหว่างสองพรรค คือ ก้าวไกลกับเพื่อไทย เย็นวันที่ 17 กรกฎาคม ต้องเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

ดังนั้น หากให้สรุปในเวลานี้สำหรับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ถือว่า มาถึงทางตันโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่มีทางเดินหน้าได้อีกต่อไป แม้ว่าในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ อาจจะยังฝืนเสนอตัวให้ที่ประชุมรัฐสภาได้โหวตอีกครั้ง แต่ก็จะทุลักทุเลเต็มที แต่หากเกิดขึ้นได้จริง ก็ถือว่านี่คือ “สุดทาง” แล้ว จากนั้นก็ถึงเวลา “จับขั้วใหม่” นำโดย พรรคเพื่อไทย และก้าวไกล จะเฟดตัวออกไปเป็นฝ่ายค้าน !!



กำลังโหลดความคิดเห็น