เมืองไทย 360 องศา
หากมองการเมืองแบบ “สองขั้ว” ที่หมายถึงฝ่ายที่เอา และ “ไม่เอาทักษิณ” หรือจะเอาแบบที่ชอบแอบอ้างกันเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” กับฝ่ายอื่น หรือตอนนี้เป็นฝ่ายพรรคร่วมฝ่ายค้าน กับฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล รวมไปถึงลักษณะธรรมชาติทางการเมืองตามทฤษฎีความเชื่อที่ว่าจะ “ไม่มีการโหวตข้ามฟาก”
สรุปแบบรวบรัดตัดความ ก็คือ ฝ่ายพรรคเพื่อไทย ก็รวมถึงพรรคก้าวไกล เสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ เป็นต้น ส่วนอีกฝ่าย ก็เป็นฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นมาตั้งแต่การเลือกตั้งคราวที่แล้วคือปี 2562
อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ ต้องการแยกมาโฟกัสเฉพาะ “ขั้วแรก” คือ ฟากพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล เป็นหลัก เพราะทั้งสองพรรคอยู่ในขั้วการเมืองเดียวกัน ขณะเดียวกัน หากเป้าหมายของเพื่อไทย ที่เพิ่งประกาศใหม่จากเดิมที่เคยประกาศเอาไว้ 251 เสียงมาเป็น “แลนด์สไลด์ 310 เสียง” เพื่อหวังจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว อ้างว่า เพื่อตัดปัญหาสกัดกั้นจากบรรดา ส.ว.จำนวน 250 เสียง
แต่ในความเป็นจริงที่คาดการณ์กัน ก็คือ เป็นความพยายาม หรือดิ้นรนเอาตัวรอดมากกว่า เพราะหากพิจารณาจากคำพูดของ “พี่โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ที่เคยออกมาเรียกร้องให้โหวตแบบมี “ยุทธศาสตร์” ความหมายชัดเจนให้ “เลือกข้าง” ไปเลย คือ จะเอาหรือไม่เอาพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ไม่ต้องแบ่งให้พรรคอื่น แม้จะไม่พูดย้ำแบบนี้ก็ตาม แต่ความหมายมันชัดอยู่ในตัวอยู่แล้ว และที่ผ่านมาก็มา ย้ำว่า “ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง” ไม่มีเครือข่าย เป็นการตัดญาติขาดมิตรกันไปเลย คือ ให้เลือกพรรคเพื่อไทยอย่างเดียวเท่านั้น
“ตอนนี้ 250 เสียงไม่ห่วง เรามั่นใจว่า ได้ ส.ส.250 เสียงขึ้นไป แต่ยังชนะไม่เด็ดขาด ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และพรรคพวก จะแย่งตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เอา พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นนายกฯ พี่น้องจะเอาหรือ ดังนั้น 310 เสียง คือ เป้าหมาย เขาจะไม่แย่งเราตั้งรัฐบาล ส่วนพรรคอื่นๆ จะมาร่วมเลือกนายกฯในสภากับเรา มั่นใจว่า เลือกตั้ง 14 พ.ค. โอกาสเป็นของเราแล้ว นอกจากเอาประยุทธ์ออกไป ปิดสวิตช์ ส.ว.แล้ว ยังได้นโยบายที่กินได้ และประชาธิปไตย ที่จับต้องได้ เราไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง พรรคญาติ หรือพรรคลุง ขอให้เลือก พท.เพียงพรรคเดียว”
นั่นเป็นคำพูดของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวเมื่อวันก่อนบนเวทีหาเสียงที่จังหวัดระยอง และตอกย้ำตามมาด้วยคำพูดของ นายเศรษฐา ทวีสิน ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ที่กล่าวว่า นโยบายพรรค พท. โดนใจประชาชนมาตลอด มีสองนโยบายที่อยากกล่าวถึงว่าโดนใจแน่นอน หากพรรค พท.เป็นรัฐบาล เราจะใช้บล็อกเชน ทำดิจิทัล วอลเล็ต ใส่เงินให้คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ เราจะสำรวจอย่างรวดเร็ว ครอบครัวไหนมีรายได้ไม่ถึง 2 หมื่นบาท เราจะเติมเงินให้ทันที ถือเป็นโยบายที่โดนใจ แก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนประเทศ โดยเริ่มจากระยอง รอบนี้เรามีผู้สมัครที่มีคุณภาพ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เราไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง พรรคสาขา อย่าให้ใครเอาเรื่องนี้มาพูด เรามีนโยบายเด็ดๆ ขอให้พี่น้องเลือกผู้สมัครระยองทั้ง 5 เขต ของพรรค พท. หากเลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ 310 เสียง เราทำนโยบายได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น หากย้ำความเชื่อที่ว่า การเมืองแบ่งออกเป็น “สองขั้ว” คือ “เอากับไม่เอาทักษิณ” และจะ “ไม่โหวตข้ามฟาก” ทำให้ต้องมาพิจารณากันว่า “ฝ่ายทักษิณ” มีอยู่กี่พรรค ซึ่งเอากันคร่าวๆ ที่เห็นชัดเจนแยกมาโฟกัสก่อนที่เป็นเนื้อเป็นหนังและเห็นภาพมาตลอดก็คือ พรรคก้าวไกล เพราะพรรคนี้โตขึ้นมาในเส้นทางเดียวกัน แม้ตอนเริ่มต้นจะได้อานิสงส์มาจากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ก็ตาม แต่นาทีนี้พรรคก้าวไกล กำลังกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญจนแทบจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดไปแล้วก็ได้ ซึ่งผลโพลที่ออกมา ล้วนพิสูจน์กันได้ดี ว่าพรรคก้าวไกล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มาในอันดับต้นๆ
ยิ่งพรรคก้าวไกลเติบโต มีความแข็งแกร่ง รวมไปถึงการมี ส.ส.จำนวนที่มากขึ้น มันก็ส่งผลต่อเป้าหมายแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยทันที หากไม่โหวตข้ามฟากที่ฐานมวลชน หากไม่โหวตให้เพื่อไทยก็ต้องโหวตให้ก้าวไกลนั่นแหละ หรืออาจจะแบ่งไปอีกพรรคหนึ่ง คือ ไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่แตกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทย
ในตอนแรกหลายคนมองว่า การเลือกตั้งคราวนี้พรรคก้าวไกลอาจจะหดตัวลง เพราะ นายทักษิณ ชินวัตร “ไม่ได้แตกแบงก์พัน” อีกแล้ว และส่งลูกสาวคนเล็ก คือ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นทายาททางการเมืองอันดับหนึ่ง แสดงว่า เทหมดหน้าตัก “ไม่แบ่งให้ใคร” อย่างที่ว่านั่นแหละ
นอกจากนี้ หากพิจารณาตาม “ยุทธศาสตร์พื้นที่” พรรคเพื่อไทย ยังต้องเจอกับคู่แข่งสำคัญ โดยเฉพาะในภาคอีสานที่เป็นจุดชี้ขาดทางการเมืองในเรื่องจำนวน ส.ส.มากที่สุด ก็ต้องบดขยี้กันกับพรรคภูมิใจไทยมาเบียดแย่งอีก ทำให้ลดทอนจำนวน ส.ส.ลงไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม คู่แข่งสำคัญก็ยังกลายเป็นพรรคก้าวไกลอยู่ดี เพราะมีฐานเสียงเดียวกัน อีกทั้งหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ทั้งสองพรรคเริ่มโจมตีกันแบบชัดเจนมากขึ้น เพราะในใจรับรู้กันอยู่แล้ว ต่างฝ่ายต่างเป็นคู่แข่ง เพราะการเติบโตของอีกพรรคย่อมหมายถึงการหดตัวของตัวเอง
ล่าสุด บนเวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ก็เพิ่งมีการกล่าวโจมตีพรรคเพื่อไทย โดยกลาาวหาทำนองว่า ไม่ใช่พรรคที่เป็นประชาธิปไตย และพรรคก้าวไกล ก็ต้องแย่งฐานเสียงจากพรรคเพื่อไทยออกมาให้ได้มากที่สุด เพราะไม่มีทางที่จะไปดึงมาจากอีกฝ่ายหนึ่งแน่นอน โดยเฉพาะฝ่ายที่สนับสนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ
ดังนั้น หากสรุปในยามนี้ ก็ต้องบอกว่าการเมืองกำลังถูกบีบให้เหลือสองขั้ว จากฝ่ายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ที่เริ่มประเมินแล้วว่า “กำลังลำบาก” ไปไม่ถึงเป้าหมายในการเป็นรัฐบาล จึงต้องเอาตัวรอด “บีบให้เลือกข้าง” ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง ไม่มีเครือข่าย แต่ขณะเดียวกัน เวลานี้ฐานเสียงเดียวกันนี้ กำลังเทไปทางพรรคก้าวไกลไม่น้อย ซึ่งก็กระทบกับเป้าหมายตัวเลขแลนด์สไลด์แน่นอน ขณะที่อีกด้านหนึ่งมันก็คือฝั่งของ “ลุงตู่” กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้อานิสงส์จากแผนนี้ไปเต็มๆ !!