xs
xsm
sm
md
lg

เพื่อไทยแผนคิดใหญ่ ลุยเอาดาบหน้า !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 ทักษิณ  ชินวัตร - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมืองไทย 360 องศา

พรรคเพื่อไทยประกาศเป้าหมายใหม่จากเดิมที่คิดจะกวาด ส.ส.ครึ่งสภา คือ จำนวน 250 ที่นั่ง แต่ล่าสุด บอกว่าจำนวนดังกล่าวไม่พอเสียแล้ว ต้องกวาดเพิ่มเป็น 310 ที่นั่ง ซึ่งหากได้ตัวเลขแบบที่ว่าจริง มันก็อาจทำให้หลายพรรคที่เคยเป็นพรรคพวกเป็นฝ่ายค้านมาด้วยกัน มีอันต้องสูญพันธุ์กันไปเลยก็ได้

คนที่ออกมาฟันธงคนแรกเลย ก็คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช.หรือ “คนเสื้อแดง” ถือเป็นคนกันเองมาแต่ก่อนเก่า ถึงกับบอกว่าเป็นความ “อำมหิต” กันเลยทีเดียว เพราะไม่เผื่อแผ่สนใจไยดีกับเพื่อนเก่า พันธมิตรฝ่ายค้าน ที่เคยร่วมงานกันมา ไม่ว่าจะเป็น พรรคก้าวไกล เสรีรวมไทย ประชาชาติ เป็นต้น

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยังได้วิเคราะห์การเมืองอีกว่า ธรรมชาติของการโหวต ส่วนใหญ่จะไม่โหวตข้ามฟาก นั่นคือ หากโหวตให้ซีกฝ่ายค้าน ก็จะโหวตในกลุ่มพรรคการเมืองที่ว่านั่นแหละ และหากโหวตให้พรรคเพื่อไทยหมดแล้ว มันก็จะส่งผลกระทบไปยังพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคอื่น ที่อาจเกือบสูญพันธุ์ หรือแทบไม่ได้ ส.ส.กลับมาเลย

นอกเหนือจากนี้ เขายังระบุด้วยว่า แม้ว่าจะได้ตัวเลขตามที่คาดหมายเอาไว้จริง แต่ก็ยังไม่เพียงพอจัดตั้งรัฐบาลอยู่ดี จนทำให้ต้องประชดอีกว่า “ไหนๆ มาขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่เพิ่มจำนวนเป็น 376 เสียงไปเลย ให้ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวไม่ต้องง้อใคร”

แน่นอนว่า เป้าหมายดังกล่าวของพรรคเพื่อไทยที่ออกมาล่าสุด จำนวน 310 ที่นั่ง ที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตคนกันเองยังปรามาสว่า “เป็นไปไม่ได้” อีกทั้งยังทำลายพันธมิตรพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมไม่อาจโงหัวขึ้นมาได้ และเสี่ยงสูญพันธุ์ดังกล่าว แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันน่าจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ขณะเดียวกัน ยังสะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เพียงแค่ให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการเป็นพอ

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสภาพคความเป็นจริง แนวโน้มและเงื่อนไขที่มีอยู่อย่างรอบด้านแล้ว มันก็สามารถฟันธงได้ทันทีว่าเป้าหมาย 310 ที่นั่ง “เป็นไปไม่ได้” แน่นอน ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ต้องมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุว่า ทำไมถึงต้องกำหนดเป้าหมายใหม่แบบมุทะลุอย่างนี้

แน่นอนว่า ในเมื่อประเมินกันว่า แค่เป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้จำนวน 250 ที่นั่ง เคยระบุว่าจะชนะแบบ “แลนด์สไลด์” ทั่วประเทศยังไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วทำไมถึงกล้าตั้งเป้าหมายในแบบเพ้อฝันยิ่งกว่าเดิม ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะมีเจตนาที่จะ “เล่นใหญ่” เอาไว้ก่อน เหมือนกับสร้าง “อุปทานหมู่” ให้ชาวบ้านต้องเลือกข้าง เพราะหากเป็นแบบที่ต้องการ การเมืองจะถูกแบ่งเป็น “สองขั้ว” ทันที ซึ่งฝั่งพรรคเพื่อไทยก็จะได้เปรียบ ซึ่งที่ผ่านมานายทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามทำตัวเป็น “ผู้นำจิตวิญญาณ” ของพรรคก็เคยเรียกร้องให้ “เลือกแบบยุทธศาสตร์” ซึ่งความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว

เหมือนกับย้อนกลับไปสู่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่มีทั้งฝ่ายที่ “เอาประยุทธ์” กับฝ่ายตรงข้าม โดยการเลือกตั้งคราวนี้พรรคเพื่อไทย กำลังต้องการให้กลับมาแบบเดิมอีก แต่อย่างที่รับรู้กัน ก็คือ หากการเมืองถูกแบ่งเป็นแบบนี้ นอกจากพรรคเพื่อไทย จะได้ประโยชน์แล้ว อีกฝั่งที่น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดด้วยก็คือ “ขั้วลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากพรรครวมไทยสร้างชาติ นั่นเอง

อีกทั้งเมื่อวิเคราะห์จากทิศทางแนวโน้มแล้ว เป้าหมายที่ตั้งไว้สูงลิ่วแบบนี้ มันก็เหมือนกับการ “ปั่นกระแส” หวังให้สูงปรี๊ดเอาไว้ก่อน ไม่ต่างจากการ “ไปตายเอาดาบหน้า” เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาได้จำนวนเท่าไหร่ ค่อยมาว่ากันอีกที อะไรประมาณนั้น

สำหรับบรรยากาศการเมืองในเวลานี้ หากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วถือว่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด หากบอกว่าพรรคเพื่อไทย ชูจุดขายเรื่องนโยบาย “ประชานิยม” ขณะที่พรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่ง ก็มี “ประชานิยม” ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ขณะเดียวกัน ในระยะหลังเริ่มมีคำถามมากขึ้น เหมือนกันว่ามันเป็นไปได้แค่ไหน จะเอางบประมาณจากไหนมาจ่าย หากต้องทำตามนโยบายดังกล่าวครบถ้วน

ในยุคปัจจุบัน พรรคการเมืองคู่แข่ง หากพิจารณากันในแต่ละพื้นที่ โฟกัสไปที่ภาคอีสานที่ถือว่าเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์มีจำนวนส.ส.มากที่สุด เวลานี้ก็มีหลายพรรคต่างก็ลงไปแย่งชิง เช่น พรรคภูมิใจไทย ก้าวไกล รวมทั้ง ไทยสร้างไทย พรรคพลังประชารัฐ ที่เน้นเป็นพื้นที่เป้าหมายเช่นกัน มันคงไม่เหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 48 ในยุคพรรคไทยรักไทย ที่ชนะแบบลอยลำ เพราะไม่มีคู่แข่ง หรือคู่แข่งไม่แข็งแกร่งพอ

นี่ยังไม่นับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีเจตนาชู “นายกฯ ลูกอีสาน” มาเพิ่มจุดขายสร้างอารมณ์ร่วมอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่ง “บิ๊กตู่” นี่แหละที่ยังเป็นคู่แข่ง และ “คู่อาฆาต” ของนายทักษิณ ชินวัตร ในการเลือกตั้งคราวนี้อีกครั้ง เพราะจะว่าไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ นี่แหละที่ทำให้ นายทักษิณ ยังไม่มีโอกาสกลับบ้านแบบไม่ต้องรับโทษความผิดมานานนับสิบปีแล้ว

ดังนั้น หากให้ประเมินถึงแนวทาง หรือเป้าหมายใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งประกาศออกมาล่าสุดมันก็เหมือนกับเจตนา “คิดใหญ่” เล่นใหญ่ เอาไว้ก่อน ทั้งที่รับรู้กันอยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเดิมก็เช่นเดียวกัน ลักษณะจึงออกมาในแบบปั่นกระแสไปตายเอาดาบหน้า จากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที อะไรประมาณนั้น !!



กำลังโหลดความคิดเห็น