เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ และคำคุยโวของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ แกนนำกลุ่มสามมิตร ที่เพิ่งให้สัมภาษณ์ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่แสดงอาการลังเลอย่างชัดเจน ว่า จะย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองไหน โดยมอบให้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แกนนำกลุ่มอีกคนหนึ่งเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่าง
จากคำพูดดังกล่าวของเขาเป็นการแสดงท่าทีที่ “ยังไม่ตัดสินใจ” เด็ดขาดของพวกเขา ทั้งที่เวลาเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว มองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับว่า กำลังรอตัดสินใจในนาทีสุดท้าย ความหมายก็คือ เวลานี้จากข้อมูลที่มีอยู่ “ยังไม่ชัวร์” ยังไม่พอสำหรับการตัดสินใจ
แน่นอนว่า สำหรับนักการเมืองที่ภาษาบ้านเรียกว่า “เขี้ยว” ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองในระดับที่คุยได้ว่าไม่เคยตัดสินใจพลาด นั่นคือ “ไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน” แต่เมื่อมีอาการแบบนี้ มันย่อมแสดงให้เห็นว่ายังไม่มีขั้วการเมืองใดทิ้งกันขาด ทุกอย่างมีแนวโน้มสูสี มีความเป็นไปได้ทั้งสองฝ่าย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนทางการเมืองของกลุ่มสามมิตร ว่า ความชัดเจนทางการเมืองได้มอบหมายให้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ดำเนินการ เพราะท่านเสียงดังกว่าตน แกได้ตะโกนไปแล้ว เมื่อถามว่า สัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า แล้วแต่ นายสุริยะ ระยะเวลาการยุบ สภาจากวันนี้เหลือ 10 กว่าวัน คงตัดสินใจอะไรกันได้แล้ว ขอให้ถาม นายสุริยะ ยกให้ท่านเลย จะไปไหนก็ไปด้วยกัน
เมื่อถามว่า โอกาสที่จะย้ายพรรคมีมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้ยังลังเลอะไรอยู่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ลังเลหรือไม่ลังเล คงไม่ใช่ แต่เราต้องรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ตนในฐานะรัฐมนตรียุติธรรม มีงานอะไรที่คั่งค้างก็ต้องทำให้เสร็จ เช่น การผลักดันกฎหมายอุ้มหาย ที่ต้องเข้าทั้งคณะรัฐมนตรี และสภา เสร็จการงานแล้ว ตอนนี้หมดหน้าที่การงานแล้ว เราจะไปไหนมาไหนได้ หรือไม่ไปก็ได้จบแล้ว เมื่อถามว่า จะไปลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา
เมื่อถามว่า สมาชิกในกลุ่มสามมิตร จะฝากเลี้ยงไว้ในพรรคพลังประชารัฐ ต่อหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สมาชิกในกลุ่มเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว บางคนย้ายไปอยู่บ้านใหม่ แต่ก็มีข่าวจะย้ายกลับเยอะ ตอนนี้การเมืองช่วงวันเวลาสุดท้ายจะมาถึง คนที่ย้ายเป็นกลุ่มเป็นก้อนออกไป ดูแล้วบรรยากาศคงไม่ค่อยสบายใจจากเรื่องทั่วๆ ไป ที่เกิดขึ้น การเมืองมันไปเร็ว บางทีไปแล้วมันไม่ใช่คนคิดจะกลับ ก็กลับไม่ได้เพราะที่เต็ม แต่จะขยับอย่างไรเพื่อให้อยู่ได้ จากที่นั่งมองท่านทั้งหลายอยู่มันเป็นแบบนั้น
เมื่อถามว่า หลังการเลือกตั้ง กลุ่มสามมิตร ที่เขาย้ายไปพรรคต่างๆ จะกลับมารวมกันเหมือนเดิมหรือไม่ นายสมศักดิ์ ตอบว่า ต้องดูบรรยากาศตอนนั้น การจัดตั้งรัฐบาลยังอีกนาน หากเรามีโอกาสอยู่ตรงนั้น จะได้ช่วยผู้คนได้ ซึ่งการรู้จักคนรู้จักกลุ่มจะสามารถทำให้การพูดคุยทำได้ง่ายขึ้น เมื่อถามว่า การเป็นรัฐบาลย่อมดีกว่าการเป็นฝ่ายค้าน ใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถูกต้อง เพราะทุกคนต้องการเป็นรัฐบาล เมื่อเป็นไม่ได้ก็ต้องไปตามอุดมการณ์ แต่ตนถนัดเป็นรัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้าน
“ผมตอบไม่ได้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ แต่ต้องบอกว่าผมไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน ในขณะที่เป็น ส.ส.” นายสมศักดิ์ ตอบคำถามที่ว่า พรรคที่จะย้ายไป มั่นใจได้หรือไม่ว่าจะได้เป็นรัฐบาล
แม้ว่าพิจารณาจากท่าทีและคำตอบแบบนี้ ก็พอเดาออกแล้วว่าในที่สุดพวกเขาน่าจะย้ายกลับไปพรรคเพื่อไทย ที่เคยสังกัดมาก่อน โดยเฉพาะกับ “กลุ่มวังบัวบาน” ที่มี “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นแกนนำมาก่อน ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการผ่องถ่ายสมาชิกไปสังกัดพรรคดังกล่าวไปเกือบหมดแล้ว แม้กระทั่งน้องสาวของตัวเอง ก็ได้วางตัวเป็นว่าที่ผู้สมัครในจังหวัดสุโขทัย เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาถึงแนวโน้มการเมืองทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง มีการมองกันว่า กำลังพัฒนาไปเป็นแบบ “สองขั้ว” ที่ฝ่ายหนึ่งคือ “เอาทักษิณ” มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ขณะที่อีกฝ่ายคือ “ไม่เอาทักษิณ” หรือ “เอาประยุทธ์” นั่นเอง ซึ่งการเมืองที่พัฒนากลับมาเป็นแบบนี้อีกครั้ง ส่วนสำคัญล้วนมาจากการออกตัวแรงของ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งสัญญาณ “กลับบ้าน” อย่างชัดเจนอีกครั้ง สร้างกระแส “แลนด์สไลด์” จากเดิมเป้าหมายพรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.เกิน 251 ที่นั่ง จนหลังสุดออกมาเรียกร้องให้เทให้เพื่อไทย พรรคเดียว โดยเร่งเร้าให้เลือกแบบ “ยุทธศาสตร์” ความหมายก็คือ บีบการเมืองเป็น “สองขั้ว” ดังกล่าว
แน่นอนว่า เมื่อการเมืองเป็นสองขั้วแบบที่ว่า คือ “เอาทักษิณ” ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกน รวมทั้งพรรคร่วมฝ่ายค้าน กับ ขั้วไม่เอาทักษิณ คือ จะกลายเป็น “เอาประยุทธ์” คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยขั้วแรกที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกน ขณะที่อีกขั้วหนึ่งก็มี พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นแกน และพรรคร่วมรัฐบาลเป็นพันธมิตร
อย่างไรก็ดี ทั้งสองขั้วดังกล่าวแต่ละขั้วอาจมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณากันหลังเลือกตั้ง นั่นคือ “พรรคตัวแปร” ที่คอการเมืองจับตามองถึงเรื่อง “ดีลลับ” ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่นคือ แบ็กกราวนด์ และแนวโน้มการเมืองหลังการเลือกตั้ง
เมื่อวกกลับมาที่ “กลุ่มสามมิตร” และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่เวลานี้แสดงอาการลังเล ไม่ตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แม้ว่าในความเป็นจริง น่าจะตัดสินใจไปแล้วว่าจะ “ย้ายไปเพื่อไทย” ก็ตามที แต่การไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ เหมือนกับยัง “แทงกั๊ก” อยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ปล่อยทอดเวลามาจนถึงตอนนี้ เมื่อมองจากความ “เขี้ยว” ของพวกเขาก็พอมองออกว่า เขาย่อมมองเห็นถึงการเมืองสองขั้วที่ “ยังไม่ขาด” ยังออกมาในลักษณะสูสี เป็นไปได้ทั้งสองขั้ว
ดังนั้น แม้ว่านาทีนี้ทางฝั่งพรรคเพื่อไทย ฝ่ายที่ “เอาทักษิณ” น่าจะมีจำนวน ส.ส.มากที่สุด แต่หลายฝ่ายฟันธงตรงกันว่า ไม่มีทางที่จะกวาดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด ขณะที่อีกขั้วหนึ่งที่เริ่มเห็นชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะกระแสของ “ลุงตู่” ที่เริ่มแรงขึ้น และยังผนึกเป็นพันธมิตรแบบหลวมๆ กับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ยังดำเนินไป ซึ่งการต่อรองจะเริ่มขึ้นหลังทราบผลเลือกตั้ง ซึ่งหากมองในภาพรวมก็มองเห็นแนวโน้มว่ายังสูสี ถึงขนาดที่ระดับ “เขี้ยว” ยังลังเลไม่กล้าตัดสินใจผลีผลาม !!