xs
xsm
sm
md
lg

ศึกชิงนายกฯเริ่มสตาร์ท จับตา 4 ตัวเต็ง!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  - อนุทิน ชาญวีรกูล - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เมืองไทย 360 องศา


แม้ว่าทุกอย่างยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็ถือว่ารับรู้กันแล้ว และมีความชัดเจนขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพราะล่าสุด พรรคเพื่อไทย โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ได้ประกาศให้ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยที่ จ.เชียงราย ซึ่งจะว่าไปแล้วสำหรับพรรคนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเป็นหัวหน้าพรรค อาจไม่มีชื่อร่วมเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ถึงอย่างไรชาวบ้านก็รู้กันล่วงหน้ามานานแล้วว่าต้องออกมาแบบนี้


แต่เอาเป็นว่าเมื่อชัดเจนขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ว่าเป็น “อุ๊งอิ๊ง” ทำให้นับรวมบรรดาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตามที่ระบุเอาไว้ในแต่ละพรรคในลักษณะที่เป็น “ตัวเต็ง” สำหรับชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยหากพิจารณากันในเวลานี้ก็มีชื่อที่มีความเป็นไปได้จำนวนไม่เกิน 4 คนเท่านั้น

เริ่มจาก “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จากพรรคเพื่อไทย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

นั่นคือ 4 รายชื่อตัวเต็งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป หลังการเลือกตั้งจาก 4 พรรคการเมือง ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งใน 4 คนที่ว่านี้ มีเพียงคนเดียวที่จะเข้าวิน

หากจะโฟกัสก็ต้องเริ่มจากรายชื่อแรก คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งนาทีนี้หลายคนยังเชื่อว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่จะชนะการเลือกตั้ง ได้ ส.ส.มากที่สุด รวมไปถึงหลายคนก็ยังเชื่อตรงกันอีกว่า พวกเขา “ไม่มีทางชนะแบบแลนด์สไลด์” อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลและปัจจัย ดังนี้ เช่น มวลชนที่เคยสนับสนุนไม่มีเอกภาพเหมือนแต่ก่อน แกนนำมีความแตกแยก แยกย้ายกันไปสนับสนุนหลายพรรค ต่างขั้วการเมือง บางคนเช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช.ที่ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมด้านลบของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่างรุนแรง

สอง ด้วยสภาพการเมืองที่แบ่งเป็นสองขั้วมานาน นั่นคือ ฝ่ายที่ “เอา” และ “ไม่เอาทักษิณ” โดยฝ่ายที่ “เอาทักษิณ” ในปัจจุบัน ก็ถูกแบ่งไปอยู่กับพรรคก้าวไกล และ “ขบวนการสามนิ้ว” ไปแล้วส่วนหนึ่ง แม้ว่าในอดีตอาจจะมองว่าเป็นกลุ่มที่มาจาก อดีตพรรคไทยรักษาชาติ แต่เวลานี้ก็ต้องยอมรับว่า ฐานเสียงของพรรคก้าวไกล ได้พัฒนาขึ้นมาจนเข้มแข็งในระดับหนึ่งแล้ว นอกเหนือจาก “แบ่งมวลชน” ออกมาแล้ว ก็กำลังจะกลายเป็นคู่แข่งที่ชัดเจนในอนาคตอีกด้วย

หากพิจารณา “ตัดตอน” เอาเฉพาะพรรคเพื่อไทย และตัวแคนดิเดตนายกฯของพรรคคือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เมื่อพิจารณาจากปัจจัย หลักๆ ดังกล่าวที่ทำให้เป้าหมาย “แลนด์สไลด์” ทำท่าแป้กค่อนข้างแน่แล้ว แม้ว่าแทบทุกฝ่ายจะเชื่อเหมือนกันว่า พวกเขาจะชนะได้ ส.ส.มากที่สุดก็ตาม ขณะเดียวกัน สิ่งที่ยอมรับกันโดย “นัยยะ” ว่า เป้าหมายดังกล่าวไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว ก็ออกมาจากท่าทีล่าสุดของนายทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง ที่เขาออกมาเรียกร้องให้ “เลือกแบบยุทธศาสตร์” ซึ่งในความหมายแท้จริง ก็คือ ต้องการ “เอาตัวรอด” ต้องการบีบให้ “เลือกข้าง” ให้ตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทยให้ได้ ส.ส. ถึง 374 คนขึ้นไป เพื่อให้สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โดยไม่ต้องพึ่งเสียงโหวตของ ส.ว.

ดังนั้น แม้ว่า นายทักษิณ ปลุกเร้าบีบให้เลือกแบบยุทธศาสตร์ “เลือกข้าง” แต่นาทีนี้ “ข้างที่เอาทักษิณ” กลับลดลงไปเรื่อยๆ ทั้งมวลชนเดิมที่เริ่มเทไปทางก้าวไกล และอีกส่วนที่เคยเป็นฐานสนับสนุน เช่น คนเสื้อแดงไม่น้อยที่ย้ายข้างไปอยู่กับหลายพรรคที่เป็นขั้วตรงข้าม นั่นคือ ความเป็นจริงในเวลานี้ และยังไม่นับกับกระแสของแคนดิเดตอย่าง “อุ๊งอิ๊ง” ที่ยังมีจุดอ่อน ไม่ปังอย่างที่คิด

ส่วนแคนดิเดตรายต่อมา คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าทยอย “ปล่อยของ” ออกมาเรื่อยๆ ที่ละขยัก ทั้งในเรื่องกลไกอำนาจรัฐสูงสุด การทยอยเปิดตัว ส.ส.ที่ย้ายมาจากหลายพรรคเป็นลอต ตามข่าวบอกว่า ยังมีอีกสองลอตใหญ่ที่รอเปิดตัว และไม้เด็ดส่วนตัว ก็คือ จังหวะการยุบสภา แม้ว่าจะประกาศออกมาแล้วว่าจะยุบในเดือนมีนาคมก็ตาม แต่ยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะเป็นช่วงไหน

นอกเหนือจากนี้ จากการเร่งเร้าของ นายทักษิณ ชินวัตร ให้เลือกแบบยุทธศาสตร์ “บีบให้แบ่งข้าง” มันก็กลายเป็นแรงส่งมาถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทันที เพราะฝ่ายที่ไม่เอาทักษิณมันก็มีตัวเลือกอยู่ไม่กี่คน และชื่อของ “บิ๊กตู่” ก็น่าจะเด่นที่สุด อีกทั้งหากพิจารณาจากกระแสของ “ลุงตู่” นาทีนี้ แม้ว่าจะลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังเหลืออยู่เป็นกอบเป็นกำ และล่าสุด ทำท่าจะสวิงกลับมาอีกครั้ง รวมไปถึงที่ยังปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เขายังมี ส.ว.อีกจำนวนหนึ่งเป็นฐานรอโหวตให้อยู่

แคนดิเดตรายต่อมาก็คือ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ระยะหลังถือว่ามาแรงไม่เบา มีฐานเสียงหนักแน่นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตอีสานใต้ มี “บ้านใหญ่” ก็หลายจังหวัดเหมือนกัน ทำให้มีความเชื่อว่าในการเลือกตั้งคราวนี้พรรคภูมิใจไทยน่าจะมี ส.ส.เป็นกอบเป็นกำ มีลุ้นเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเหมือนกัน

และรายสุดท้าย ก็คือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แม้ว่าบรรดากูรูทางการเมืองจะมองว่า เขามีโอกาสเป็นนายกฯแบบก้าวข้ามความขัดแย้งขึ้นมาค่อนข้างสูง แต่สำหรับการเมืองในยุคใหม่ บางครั้งไม่ต้องวิเคราะห์กันให้มัน “ซับซ้อน” เกินไปนัก แต่ต้องพิจารณากันที่ “กระแส” กันเป็นหลัก เพราะในปัจจุบันแทบทุกอย่างอยู่ที่เรื่องดังกล่าว บางครั้ง เก่ง ดี แต่ไม่มีกระแส มันก็ไปไม่ถึงไหน เหมือนกับ “ลุงป้อม” ที่ต้องยอมรับว่า กระแสก็ไม่มี ภาพลักษณ์ทางสังคมโดยรวม ทั้งส่วนตัวและคนรอบตัว ไม่อยากบอกว่าเป็นลบ แต่ไม่เป็นบวกก็แล้วกัน ไม่เชื่อก็ลองไล่นับหัวเอาก็แล้วกัน และหากจะพึ่งพาได้ก็คงมีเพียง ส.ส.จากบ้านใหญ่เท่านั้น ซึ่งก็มีแค่หลักสิบเท่านั้น และในการเลือกตั้งใช่ว่าจะชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์

หลายคนอาจแย้งว่า เขามี ส.ว.จำนวนมากหนุนรอโหวตให้เป็นนายกฯ แต่คำถามก็คือ พรรคพลังประชารัฐ จะได้ ส.ส.มาได้กี่สิบคน ซึ่งตามสูตร “เลือกข้าง” ของนายทักษิณ ชินวัตร มันยิ่งทำให้ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ น่าจะลดลง แล้วไปเพิ่มให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “บิ๊กตู่” มากกว่า

ขณะเดียวกัน หากข่าว “ดีลลับ” มีจริง คือ พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพลังประชารัฐ นั่นแหละโอกาสที่จะทำให้ “ลุงป้อม” เป็นนายกฯ (ขัดตาทัพ) เพื่อหวังเสียงโหวตจาก ส.ว.ซึ่งเป็นไปได้สูงเหมือนกัน ภายใต้เงื่อนไข “พากลับบ้าน” ก็อีกเรื่องหนึ่ง

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่เป็นอยู่ และแนวโน้มที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป มันทำให้เห็นภาพของ “แคนดิเดตนายกฯ” ชัดเจนในจุดสตาร์ท เหลือ 4 คน นั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เท่านั้น และแม้ว่าจะสามารถมองเห็นคู่ชิงกันแล้วก็ตาม แต่น่าจะต้องรออีกสักนิด อย่างน้อยก็ให้ถึงช่วงการเลือกตั้ง ก็เห็นภาพชัดเจน!!


กำลังโหลดความคิดเห็น