เมืองไทย 360 องศา
หากจะบอกว่าเพียงแค่เริ่มต้นก็มันหยดแล้ว เพราะหลังจากที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศปราศรัยใหญ่ที่ “โคราช” บ้านเกิด ในวันเสาร์ที่ 25 ก.พ. ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะเป็นการปราศรัยใหญ่เป็นครั้งที่สองในนามพรรคการเมือง หลังจากเคยมีกิจกรรมแบบนี้มาแล้วที่ จ.ชุมพร ที่เป็นประตูสู่ภาคใต้ โดย “โคราช” ก็ถือเป็นประตูสู่ภาคอีสานเช่นกัน
ขณะเดียวกัน เพิ่งมีการเผยแพร่กำหนดการออกมาจากพรรคเพื่อไทย หมาดๆ เช่นกันว่า ในวันที่ 25-26 ก.พ.นี้ พวกเขาจะไปเปิดการปราศรัยใหญ่ที่ จ.เชียงราย และ เชียงใหม่ ตามลำดับ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เผยว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) เตรียมลงพื้นที่ปราศรัย จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 25-26 ก.พ.นี้ โดยวันที่ 25 ก.พ.จะลงพื้นที่พบปะประชาชนและเปิดปราศรัยใหญ่ที่ จ.เชียงราย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และ หัวหน้าพรรค น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และคณะ ในช่วงเช้าจะไปพบปะผู้ประกอบการในพื้นที่ และประชาชนที่จุดผ่านแดนถาวร อ.แม่สาย จ.เชียงราย จากนั้นจะเปิดปราศรัยใหญ่ที่ รร.ปล้องวิทยาคม อ.เทิง จ.เชียงราย โดยเวทีจะเริ่มตั้งแต่เวลา 17.00-18.30 น. หลังจากปราศรัยเสร็จสิ้น แกนนำพรรคจะลงพื้นที่ถนนคนเดิน อ.เมืองเชียงราย
ต่อจากนั้น ในวันที่ 26 ก.พ. เดินทางไปยัง จ.เชียงใหม่ โดยในช่วงเช้าจะไปพบผู้ประกอบการท่องเที่ยวและพี่น้องชาวชาติพันธุ์ ที่ม่อนแจ่ม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และในช่วงบ่ายจะเดินทางไปที่ศูนย์เฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 ช่วงเย็นจะเป็นการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.เมืองเชียงใหม่
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า พรรค พท.จะลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนถึงเดือน พ.ค.และประกาศนโยบายชุดใหญ่หลังจากยุบสภา เราจะคำนึงถึงอายุของการตั้งครรภ์และความพร้อมของสภาวะร่างกายของ น.ส.แพทองธาร ซึ่งเรื่องนี้พี่น้องในพื้นที่ส่งความห่วงใยกันมามาก ต้องขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้และ
ขอยืนยันว่า น.ส.แพทองธาร ยังคงตั้งใจ และมุ่งมั่นที่จะพบปะพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยใช้เวลาในช่วงนี้ให้ได้คุ้มค่าที่สุด สำหรับการทำงานร่วมกับพรรค พท. ภายใต้เป้าหมายแลนด์สไลด์
ขณะที่ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เดินทางไปที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา เพื่อตรวจดูสถานที่และเวทีเตรียมการ ปราศรัยใหญ่ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรค รทสช.ทั้ง 132 เขต ใน 20 จังหวัด
ภาคอีสาน ในวันเสาร์ที่ 25 ก.พ.นี้ โดยมีการตั้งเวทีปราศรัยขนาดใหญ่ ความยาว 40 เมตร ลึก 15 เมตร พร้อมกับมีการตั้งโครงเหล็กหลังเวทีเพื่อเตรียมที่จะติดตั้งจอ LED ยักษ์ขนาดความกว้าง 40 เมตร สูง 5 เมตร บนเวทีปราศรัย อีกทั้งจะมีการติดตั้งเครื่องเสียงทั่วบริเวณ ติดตั้งจอ LED ขนาด 4X6 เมตร ทั้ง 4 มุมของสนามหน้าศาลากลาง จ.นครราชสีมา และที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) รับนายกรัฐมนตรีสักการะท้าวสุรนารีอีกด้วย เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมฟังการปราศรัย ได้เห็นหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นปราศรัยใหญ่อย่างทั่วถึง
ทีมงานได้เตรียมเก้าอี้ไว้จำนวนกว่า 3 หมื่นตัว เพื่อรองรับประชาชนที่จะเดินทางมาจาก 20 จังหวัดทั่วทั้งภาคอีสาน เพื่อมาร่วมฟังการปราศรัยในครั้งนี้ โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ ตั้งเป้าไว้ว่า จะมีผู้เดินทางมาฟังการปราศรัยใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นคน
นายเสกสกล กล่าวว่า การปราศรัยใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งนี้ จะมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติทั้ง 132 เขต ในภาคอีสาน พร้อมกับนำ ผลงานต่างๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้สร้างไว้ในช่วง 8 ปีมานำเสนอ โดยมีสโลแกนว่า “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ”
แน่นอนว่า หากพิจารณากันในแง่มุมทางการเมืองก็ต้องบอกว่าทั้งสองเวที คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ และ พรรคเพื่อไทย ดังกล่าวมีความหมาย เพราะที่โคราช สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ พยายามเปิดเเคมเปญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “นายกฯ ลูกอีสาน หลานย่าโม” เนื่องจากเกิดที่ จ.นครราชสีมา และมีแม่เป็นคน จ.ชัยภูมิ ตั้งใจจะขายความเป็น “ลูกอีสานแท้ๆ” ออกมา
ส่วน พรรคเพื่อไทย รับรู้กันอยู่แล้วว่าภาคเหนือ ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการเมือง และ จ.เชียงใหม่ ถือเป็นบ้านเกิดของ นายทักษิณ ชินวัตร พ่อของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่คาดกันว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคอีกด้วย
ดังนั้น ถือว่าทั้งสองเวทีย่อมต้องมีความหมายทางการเมือง เหมือนกับว่าเป็นการตั้งเวทีประชันกัน และยังเป็นการหวังผลทางการเมือง ต้องการ “เบรกกระแส” ของอีกฝ่ายลงให้ได้
แม้ว่าที่ผ่านมา ทางพรรคเพื่อไทยจะมีการเดินสายตระเวนปราศรัยในหลายจังหวัดมาแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีข่าวแทรกมาว่า มัน “ไม่เปรี้ยงปร้าง” เท่าที่ควร รวมไปถึงมีข่าวคราว ว่า “จะเปลี่ยนตัวแคนดิเดต”ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าข่าวที่ออกมาอาจเป็นเพราะเป้าหมายเรื่อง “แลนด์สไลด์” เริ่มเบี่ยงเบนไปไกลแล้วก็ได้หรือเปล่า
ส่วนอีกด้านหนึ่ง สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เวลานี้หากนับตั้งแต่การอภิปรายทั่วไปตาม มาตรา 152 ที่ “บิ๊กตู่” ยกเอาวลี “ขายบ้านแถมสัญชาติ” ในเรื่องทุนจีนสีเทา และย้อนถามเรื่องการทุจริต มีรัฐมนตรีหลายคนต้องติดคุกเหมือนกับว่า “เรตติ้ง” ของเขาพุ่งขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุด นายทักษิณ ชินวัตร ยังออกมาเรียกร้องให้ “เลือกแบบมียุทธศาสตร์” ในความหมายแบบการเมืองให้เหลือแค่ “สองขั้ว” และกดดันให้เลือกพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ซึ่งหากมองให้ลึกมันก็เหมือนกับรู้ว่าเริ่มไม่มั่นใจกับเป้าหมายแลนด์สไลด์แล้ว เพราะแบบนั้นมันทำให้เสียงกระจายไปหลายพรรค แต่หากเลือกแบบยุทธศาสตร์ก็ให้เทมาที่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว อย่างไรก็ดี วิธีการแบบนี้มันก็เหมือนกับว่าเป็นการสร้างกระแสแบบ “ไม่เลือกเราเขามาแน่”
ขณะเดียวกัน เมื่อวกกลับมาที่สองเวทีปราศรัยที่ตั้งประชันกันทั้งสองภาคทั้งในภาคอีสานที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นประตูสู่ภาคอีสาน บ้านเกิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ ที่เชียงใหม่ บ้านเกิดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่มีตัวแทน คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แม้ว่าเวทีของพรรคเพื่อไทย จะจัดขึ้นในวันถัดมาคือวันที่ 26 ก.พ.ก็ตาม แต่ในความหมาย มันก็เหมือนกับการมีเจตนา “ดับความร้อนแรง” หรืออย่างน้อยก็ต้อง “แย่งซีน” ไม่ให้พรรครวมไทยสร้างชาติของ “บิ๊กตู่” ยึดพื้นที่ข่าวเพียงฝ่ายเดียวแน่นอน
ดังนั้น หากพิจารณากันในภาพรวมๆ เวลานี้เริ่มมีแนวโน้มว่าการเมืองกำลังจะถูกบีบออกมาเป็น “สองขั้ว” เหมือนเดิมอีกแล้ว ระหว่าง “เอา” หรือ “ไม่เอา” ทักษิณ หรืออีกด้านหนึ่ง ก็คือ “เอา” หรือ “ไม่เอาประยุทธ์” กลับมาอีกครั้ง และคนที่เริ่มแบบนี้ก่อน ก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มกลัวอีกแล้วว่า พรรคเพื่อไทย จะไม่ได้ชนะแบบแลนด์สไลด์ ไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งคราวนี้ถือว่าอาจเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วสำหรับตัวเขาที่จะได้กลับมาในแบบที่ไม่ต้องติดคุก !!