xs
xsm
sm
md
lg

ซักฟอกเอฟเฟกต์แรง ส่ง “บิ๊กตู่” กดเพื่อไทย !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

จะเรียกว่า “เพื่อนเรา เผาเรือน” ก็ได้เหมือนกัน กับการที่พรรคก้าวไกล โดย นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.ที่นำข้อมูลกรณี “ทุนจีนสีเทา” จาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ยัดใส่มือให้นำมาอภิปรายในสภา เมื่อวันก่อน ทำให้พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ “คนในครอบครัว” โดนเข้าไปเต็มๆ ทั้งที่จะว่าไปแล้วตัวเองพยายาม “นั่งตัวลีบแบบไม่กล้าหายใจแรง” กลัวคนอื่นเห็นอย่างเต็มที่แล้ว เพราะหากสังเกตให้ดี การซักฟอกตามมาตรา 152 ในช่วงวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ไม่มี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย หยิบยกเอาเรื่อง “ตู้ห่าว” หรือ “ทุนจีนสีเทา” ขึ้นมาอภิปรายแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลย ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ ชาวบ้านยังให้ความสนใจ

แต่กลายเป็นว่า พรรคก้าวไกลที่เป็นพันธมิตรฝ่ายค้าน ที่จงใจนำเอาเรื่องดังกล่าวขึ้นมาซักฟอก ซึ่งเป้าหมายหลัก ก็คือ มีเจตนาเล่นงาน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรครวมไทยสร้างชาติ แม้ว่าหลักฐานที่นำมาใช้ในการอภิปรายจะพยายามเชื่อมโยงกับ “หลานนายกฯ” รวมไปถึง ส.ว.คนหนึ่งในเรื่องการเช่าตึกที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ มีเป้าหมายเอา “สีเทา” มาป้ายให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องโดนไปด้วยก็ตาม

อย่างไรก็ดี “ภาพจำ” ที่เกิดขึ้น หากพูดถึง “ทุนจีนสีเทา” มันก็ไม่อาจข้ามพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงคนในครอบครัวเพื่อไทย โดยเฉพาะ “ครอบครัวชินวัตร” ที่มี นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยืนอยู่แถวหน้านั่นแหละ และอย่าได้แปลกใจเมื่อมีการพูดถึงเรื่องนี้ และมีการกล่าวหาพุ่งเป้าใส่ นายกรัฐมนตรี อีกด้านหนึ่ง มันก็เหมือนกับการเปิดช่องให้ “ถล่มเข้าจังเบอร์” เพราะเพียงแค่คำว่า “ขายบ้านแถมสัญชาติ” และ “พรรคเพื่อไทย กล้าพูดเรื่องทุจริต ทั้งที่มีรัฐมนตรีติดคุกและหลบหนีคดี” ทำเอาสะเทือน สะใจไปทั้งประเทศ

ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่านั้น ก็คือ ไม่มีคนในพรรคเพื่อไทย “เสนอหน้า” ออกมาปกป้อง นายใหญ่ นายหญิง สักคนเดียว นั่งเงียบกันทั้งสภา ไม่เหมือนกับเรื่องไร้สาระอื่นๆ แค่ใครแหลมมานิดเดียว ก็ดาหน้าออกมา แต่เรื่องแบบนี้กลับนั่งเงียบกริบ

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการซักฟอกตามมาตรา 152 ที่ผ่านมา ถือว่าส่งผลสั่นสะเทือนต่อพรรคฝ่ายค้านบางพรรค โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยอีกเช่นเดิม เพราะด้วยหลักฐาน ข้อมูลที่นำมาเปิดโปงก่อนหน้านี้ ทั้งจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ล้วนพุ่งตรงไปที่คนในพรรคเพื่อไทย ทั้งเรื่องภรรยาของ “ตู้ห่าว” ที่เป็นอดีตตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มีศักดิ์เป็น “หลานเขย” ของอดีต “บิ๊กตำรวจ” ที่ต่อมาเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมไปถึงเรื่องการ “การขอ และอนุมัติสัญชาติ” ก็ล้วนเกิดขึ้นในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น ซึ่งเป็นปฐมบทของการถือกำเนิดของ “ทุนสีเทา” จนยิ่งใหญ่คับฟ้า

กลายเป็นว่า ก่อนหน้านี้ ที่ตั้งชื่อญัตติซักฟอกดังกล่าวไว้เก๋ไก๋ ว่า ญัตติ “กระชากหน้ากากคนดี” แต่เอาเข้าจริงกลายเป็น “กระชากหน้ากากตัวเอง” โดนพรรคก้าวไกล “เพื่อนเราเผาเรือน” และทำให้ “บิ๊กตู่” ฉวยโอกาสย้อนรอยนำมา “ขยี้” จนเละ อย่างที่เห็น ส่วนจะส่งผลกระทบในการเลือกตั้งมากน้อยแค่ไหน ในอนาคตยังไม่อาจพิสูจน์ได้ แต่อย่างน้อยจากผลสำรวจที่ออกมาย่อมให้คำตอบบางอย่างได้ดีทีเดียว

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจล่าสุด เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ โดยตั้งคำถามถึงการอภิปรายนายกรัฐมนตรี กรณี “ตู้ห่าว และทุนจีนสีเทา” พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 57.2 ระบุ ชอบวลีเด็ด ของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บอกว่า ซื้อบ้าน แถมสัญชาติ เชื่อมโยงกับธุรกิจครอบครัวพรรคการเมืองใหญ่ และพวกพ้อง ร้อยละ 55.6 ระบุ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบโต้ได้ดี มีประเด็น ทั้งตู้ห่าวได้สัญชาติช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ซื้อบ้านแถมสัญชาติ เกี่ยวโยงพรรคการเมืองใหญ่ ร้อยละ 54.8 ระบุ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบโต้ด้วยข้อมูลใหม่ ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น ตู้ห่าว ได้สัญชาติไทยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ร้อยละ 54.3 ระบุ การอภิปรายนายกรัฐมนตรี กลายเป็น บูมเมอแรง กลับไปยังพรรคการเมืองใหญ่ฝ่ายค้าน และ ร้อยละ 45.5 ระบุ ฝ่ายค้านอภิปรายในเรื่องรู้มาก่อนแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ ไม่ได้ประโยชน์อะไร

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึง ถ้าเลือกได้จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี พบว่า สูสีกันระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 28.5 กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 25.7 ในขณะที่ตามมาติดๆ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 21.2 ทิ้งห่าง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 14.4 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ร้อยละ 3.8 และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เพียง ร้อยละ 2.7 ตามลำดับ
ที่น่าสนใจ คือ เมื่อแบ่งระหว่าง คนกรุงเทพมหานคร กับ คนต่างจังหวัด พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใจคน กทม. ร้อยละ 33.0 ต่างจังหวัด ร้อยละ 24.3 ส่วน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ใจคน กทม. ร้อยละ 21.3 ต่างจังหวัด ร้อยละ 29.9 นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ใจคน กทม. ร้อยละ 9.2 ต่างจังหวัด ร้อยละ 23.6 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้ใจคน กทม.ร้อยละ 12.1 ต่างจังหวัด ร้อยละ 14.8 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้ใจคน กทม. ร้อยละ 8.3 ต่างจังหวัด ร้อยละ 2.9 ในขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ใจคน กทม. เพียงร้อยละ 2.9 ต่างจังหวัดก็ได้เพียงร้อยละ 2.6 เท่านั้น

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล ระบุว่า ผลโพลชิ้นนี้ ชี้ให้เห็นว่า คะแนนนิยมของประชาชนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังกลับมาเพิ่มสูงขึ้นจนจี้ติดคะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เพราะอยู่ในช่วงของความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 5 อันน่าจะเป็นผลจากการอภิปรายทั่วไปครั้งนี้ที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า ภาพอนาคตหลังการเลือกตั้งที่เป็นไปได้สูง คือ โอกาสที่จะได้รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นได้ ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้ไม่แตกแยกออกไปอยู่คนละขั้ว และพรรคร่วมรัฐบาลไม่แย่งปลาในบ่อเดียวกันในแต่ละเขตเลือกตั้ง

เพราะตัวเลขทางสถิติชี้ให้เห็นได้ว่า ประชาชนตัดสินใจเลือกตั้งกระจัดกระจายไปตามกลุ่มผู้นำทางการเมืองแตกต่างกันและผลรวมตัวเลขสถิติครั้งนี้ออกมาพบว่ากลุ่มของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมกันเป็นกลุ่มที่มากเพียงพอจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งได้ไม่ยาก บนการออกแบบยุทธศาสตร์การเมืองช่วงเลือกตั้งที่ดี ไม่แย่งปลาในบ่อเดียวกัน ไม่เช่นนั้น อาจจะได้เห็นผลลัพธ์เหมือนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ครั้งล่าสุดที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แข่งขันกับอีกกลุ่มหนึ่งที่เสียงแตก แพแตก ก็เป็นได้

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล ระบุต่อด้วยว่า ถ้าวิเคราะห์เจาะลึกสถานการณ์เลือกตั้งครั้งนี้ จะพบว่า กำลังเกิดกระแสจะ “เอาทักษิณ” หรือ “ไม่เอาทักษิณ” หากเป็นเช่นนี้จริง ข้อมูลที่ค้นพบครั้งนี้จึงสะท้อนภาพได้ว่า โอกาสแลนด์สไลด์ไม่น่าจะเกิดขึ้น ถ้ากลุ่มไม่เอาทักษิณไม่แตก ไม่แย่งปลาในบ่อเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อจำนวนผู้สนับสนุนทั้งสองขั้วนี้ พอๆ กัน โดยขั้วเอาทักษิณมีตัวแบ่งแค่สอง แต่ขั้วไม่เอาทักษิณ ถูกแบ่งคะแนนไปกับหลายพรรค ดังนั้น ถ้าข้อเท็จจริงนี้เกิดขึ้นในทุกเขตเลือกตั้ง โอกาสแลนด์สไลด์ให้กับพรรคเพื่อไทย ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน

แน่นอนว่า ผลสำรวจดังกล่าวหลายคนอาจไม่เชื่อว่าผลจะออกมาแบบนี้ ซึ่งแล้วแต่มุมมอง อาจเป็นกลุ่มแฟนคลับของพรรคเพื่อไทย คนที่ชื่นชอบครอบครัวชินวัตรมานาน ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังมั่นคงเหมือนเดิม ขณะที่อีกฝ่ายที่มีทั้งฝ่ายที่ได้รับข้อมูลใหม่ พร้อมกับประมวลเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโปงของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. รวมถึงบางกลุ่มที่รับรู้พฤติกรรมของนายทักษิณ ชินวัตร และความเคลื่อนไหวภายในพรรคเพื่อไทยมาตลอด ย่อมสรุปได้ไม่ยากอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี หากโฟกัสเฉพาะผลสำรวจครั้งนี้ มันย่อมสะท้อนผลออกมาแล้วว่าผลจากการอภิปรายญัตติตามมาตรา 152 ที่ผ่านมา สำหรับพรรคเพื่อไทย ถือว่าไม่ได้ประโยชน์ ในทางตรงกันข้ามกลับไปเพิ่มพลังส่งให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกลับมาเพิ่มกระแสความนิยมขึ้นอีกครั้ง จนตัวเลขไล่จี้ติด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แบบสูสี แม้ว่ากว่าจะถึงวันเลือกตั้ง อาจจะมีตัวแปรอื่นเข้ามาให้ตัดสินใจอีกก็ตาม แต่นาทีนี้ถือว่าเสียหายหลายแสน!!


กำลังโหลดความคิดเห็น