เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนคงไม่ได้ติดตามการอภิปรายตาม มาตรา 152 ซึ่งตามบทบัญญัติจะระบุว่า เป็นการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริง หรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ หลักการก็ประมาณนี้ และที่เชื่อว่าหลายคนคงไม่ได้ติดตาม หรือสนใจฟังการอภิปรายในครั้งนี้ นอกเหนือจากในเรื่องของความเข้มข้นตื่นเต้นเร้าใจแล้ว เพราะไม่มีการลงมติ ทำให้ขาดความตื่นเต้นไม่น่าติดตาม เพราะมันไม่มีผลต่อสถานะของรัฐบาลหรือผู้นำรัฐบาลแต่อย่างใด
อีกทั้งยังมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่า มันเป็นเพียงแค่ “เกมหาเสียง” แบบน้ำเน่าที่ “ไร้มาตรฐาน” ฉวยโอกาสใช้เวทีสภา ใช้ทีวีวิทยุสภาหาเสียง โฆษณาพรรคตัวเอง แก้ตัวให้“เจ้าของคอก” หรือครอบครัวของเจ้าของพรรค เท่านั้นเอง
ในการยื่นญัตติคราวนี้ ที่ใช้ชื่อว่า “กระชากหน้ากากคนดี” เพื่อให้เร้าใจชวนติดตามตั้งแต่แรก แต่กลายเป็นว่า ทุกอย่างกลับ “ย้อนกลับเข้าตัว” แบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ทุนจีนสีเทา” ที่เมื่อย้อนกลับไปถึงต้นเหตุที่เป็นจุดเริ่มต้น หากบอกว่า “ตู้ห่าว” คือต้นตอของธุรกิจมืดผิดกฎหมาย ก็ต้องย้อนกลับไปถึงการได้สัญชาติไทย ตั้งแต่ในยุคใด รัฐบาลใด มีเมียเป็นตำรวจ ที่เชื่อมโยงกับรัฐมนตรีในรัฐบาลของใคร มีการซื้อบ้านหรูยกหมู่บ้านราคารวมกันนับพันล้านบาท และถามว่ามีคนในครอบครัวของใคร เป็นผู้บริหารและถือหุ้นใหญ่ รวมทั้งยังมีส.ส. และเมียกรรมการผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนของเครือข่ายนาย “ตู้ห่าว” คนนี้
ถึงได้บอกว่า เพียงแค่นี้ หากเป็นคนทั่วไปต้อง “เงียบ” เสียงอย่างเดียว เพราะตามปกติหากเป็นคนทั่วไป แค่หายใจดังก็ยังไม่กล้า เพราะกลัวว่าคนอื่นเขาจะนำมาพูด นำมาเปิดโปงไม่เลิก มีแต่เสียหายเข้าตัว แต่นี่ดันไปแหย่รังแตนซ้ำเข้าไปอีก ก็เลยโดนย้อนศรเข้าไปทุกดอก และอย่าได้แปลกใจที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฉวยจังหวะซัดกลับเข้าไปถึงทรวง
พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงภายหลัง นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.ก้าวไกล ว่า คดีตู้ห่าว ที่พูดกันมาหลายคน ขอให้ย้อนกลับไปดูว่า พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นนานพอสมควร เกิดมาก่อนปี 2557 โดยตู้ห่าว เข้ามาไทยตั้งแต่ปี 2554 มีการอนุมัติอนุญาต เรื่องสัญชาติต่างๆ ตั้งแต่ปี 2554 กระบวนการเรื่องสัญชาติก็ดำเนินการมาเรื่อยจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน ในเมื่อท่านเสนอมา และตรวจสอบแล้วถูกต้องก็เป็นการอนุมัติตามขั้นตอนของกฎหมาย และพฤติกรรม ขอให้ไปย้อนดูด้วย วันนี้มีการฟ้องร้องและให้ข้อมูลจากภาคประชาชน และตนก็สั่งให้สืบสวนสอบสวน ไม่อยากจะโทษใคร อาจจะถูกปล่อยปละละเลยมานานแล้ว เงินเหล่านี้ขอย้อนกลับไปให้สอบสวน ว่ามีการดำเนินการมาอย่างไร เมื่อไหร่ ตนได้ทราบว่า มีการนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ยกหมู่บ้าน และก็ไม่ทราบว่าเป็นบริษัทของใคร ยกหมู่บ้านหลายหมู่บ้านด้วยกัน นายกฯ ยืนยันรัฐบาลนี้ไม่มีแน่นอนในการขายบ้าน และแถมสัญชาติให้ ไม่มี ท่านไปเช็กดีๆว่า ภรรยาของตู้ห่าว มีความเกี่ยวข้องกับอดีตรัฐมนตรีสมัยบางพรรคก็แล้วกัน ไปดูข้อมูลข้อเท็จจริงด้วย โดยระหว่างที่นายกฯ ชี้แจงถึงประเด็นนี้ ได้มีการขึ้นสไลด์ มีระบุข้อความว่า “รัฐบาลนี้ไม่มีขายบ้านแถมสัญชาติ” ประกอบการชี้แจงด้วย
“ผมยืนยันแต่ต้น คุณชูวิทย์ ก็ได้มาเจอผม และผมก็ได้รับฟังท่านพร้อมกับส่งข้อมูลให้กับตำรวจทันที หลักนิติธรรมก็ต้องมี ผมทำถูกต้องแต่อาจไม่ถูกใจ ไม่ทันใจทุกคน การดำเนินการบางอย่างอยู่ในขั้นตอน บางอย่างเปิดเผยได้ บางอย่างเปิดเผยไม่ได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการสอบสวน”
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงประเด็นกลุ่มทุนจีนสีเทา ที่เปิดผับจินหลิง เรื่องนี้ตำรวจนครบาลได้สืบสวนจับกุม และได้ผู้ต้องหามาหลาย 10 ราย บางก็หลบหนีและออกหมายจับอยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายส่วนที่พูดว่ามีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพัน เป็นผู้บังคับบัญชาก็มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน และให้ออกราชการไว้ก่อนไปแล้วรายใดที่มีความผิดอาญาด้วย ก็ให้ดำเนินคดีไปตามกฎหมาย ส่วนที่กล่าวหาว่าไปย้ายตำรวจคนขยันเรื่องนี้ เป็นเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งอยู่ภายในอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้พิจารณาไปตามกฎเกณฑ์ และหลักเกณฑ์ระเบียบต่างๆ ไปแล้ว
ส่วนประเด็น นายหยู่ซินฉี ตั้งสมาคมปลอม เพื่อช่วยทำวีซ่านำคนจีนสีเทาเข้าประเทศในช่วงปี 2563-2564 เป็นจำนวน 7,000 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม.ช่วยเหลือ วันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานได้ชี้แจงข้อมูลความคืบหน้าให้ทางสื่อมวลชนทราบเป็นระยะแล้ว จะเห็นว่า ตำรวจพยายามดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา หากพบเจ้าหน้าที่ผู้ใดร่วมกันกระทำความผิด ก็ต้องดำเนินการทั้งวินัยและอาญา ไม่มีการยกเว้น รวมถึงคนไทยหลายคน ที่อาจไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยที่รับผลประโยชน์
ส่วนที่พาดพิงเรื่องการคอร์รัปชันต่างๆ ไม่อยากจะย้อนกลับไป หลายคนก็กล้าพูดออกมาเพื่อรักษาอำนาจ ทั้งที่อดีตรัฐมนตรีหลายคน ก็มีปัญหาเรื่องคอร์รัปชัน ติดคุกไปหลายคน บางคนก็หนีไปต่างประเทศก็มี แต่ตั้งแต่รัฐบาลปี 2557 ของตนยังไม่มีรัฐมนตรีคนใดติดคุกสักรายเลย นี่คือ ข้อเท็จจริง
นายกรัฐมนตรี ขึ้นข้อความสไลด์ประกอบการชี้แจงว่า “พรรคเพื่อไทย เรื่องคอร์รัปชันยังกล้าพูดเหรอ รัฐบาลหลายคนก็มีปัญหาเรื่องคอร์รัปชัน มีรัฐมนตรีติดคุกตั้งหลายคน บางคนไปต่างประเทศ ตั้งแต่มีรัฐบาลปี2557 ยังไม่มีรัฐมนตรีท่านไหนติดคุกสักราย”
แต่ละเรื่อง แต่ละดอก ถือว่าย้อนศรได้เจ็บแสบ สำหรับพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะว่าไปแล้วหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเนื้อหาและบุคคลในการอภิปรายจะพยายามไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของ “ตู้ห่าว” และกลุ่มทุนสีเทา เท่าใดนัก สาเหตุสำคัญอาจเพราะเกรงว่าจะโดนเข้าตัว แต่กลายเป็นว่าพรรคก้าวไกล กลับนำมาเน้น และพยายามขยายผล มันก็เลยโดนซ้ำแผลเดิมที่พยายามซ่อนเอาไว้ หรือเบี่ยงให้ไกลตัว งานนี้หากจะโทษก็ต้องโทษ ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่ฟื้นฝอยขึ้นมาจนทำให้ “ครอบครัวเพื่อไทย” ต้องเดือดร้อนกันทั้งบ้าน
อย่างไรก็ดี หากให้สรุปในภาพรวมๆจากความพยายามในการฟังการอภิปรายตามมาตรา 152 ในช่วงสองวันคือ 15-16 กุมภาพันธ์ ถือว่าไม่ได้เหนือความคาดหมาย นั่นคือ ไม่มี “หมัดน็อก” ไม่มีหลักฐานเด็ดที่มัดตัว นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมทุจริตได้แบบจะแจ้ง การอภิปรายก็ไม่ต่างจากการตั้งกระทู้ถามสดในทุกสัปดาห์ เนื้อหาที่นำมาพูดก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลเก่า นำมาจากสื่อมีการเปิดเผยออกมานานแล้ว ไม่ได้มีอะไรใหม่
สิ่งที่เห็นสำหรับส.ส.ที่ลุกขึ้นอภิปรายส่วนใหญ่ หรือแทบทั้งหมดถือว่า “ไร้มาตรฐาน” ไร้ความน่าเชื่อถือ ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะคนฟัง หรือคนที่ติดตามการเมืองพัฒนาไปไกลกว่า ส.ส.พวกนั้น จึงไม่ให้ราคา และคาดการณ์แบบปรามาสล่วงหน้าแล้วว่า มันก็แค่เวทีหาเสียงน้ำเน่าก่อนการเลือกตั้งเท่านั้นเอง ซึ่งหากเป็นการคาดการณ์แบบนี้ ถือว่าพวกเขาทำได้ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างทำได้ตามคาดจริงๆ
แต่ขณะเดียวกัน หากโฟกัสกันเฉพาะพรรคเพื่อไทย คราวนี้ถือว่า โดนเละกว่าเดิม เพราะเหมือนกับว่า ตัวเองอุตส่าห์นั่งตัวลืบ ไม่กล้าขยับตัว กลัวคนอื่นเห็นแล้วนำไปพูด แต่กลายเป็นว่าพรรคก้าวไกลตัวแสบ จิกไม่ปล่อยเรื่อง “ทุนสีเทา” นำข้อมูลจากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มายำรัฐบาล แต่กลายเป็นถูกย้อนกลับไปโดนทั้งครอบครัว ถึงได้บอกว่างานนี้ “กระชากหน้ากากตัวเอง” มากกว่า!!