เมืองไทย 360 องศา
การกำหนดคำพูดหรือสโลแกนบางอย่างมาใช้สำหรับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของบางพรรคการเมือง รวมไปถึงการกำหนดนโยบายของบางรัฐบาล เพราะเชื่อว่าเมื่อประกาศออกไปแล้วจะทำให้ได้รับความนิยมมากมาย เหมือนกับกรณีคำพูด “พาพ่อกลับบ้าน” รวมไปถึงคำพูดที่ว่า “ผมกลับแน่นอน”
คำพูดแบบนั้นที่ออกมา ก็ล้วนมาจากการประเมินว่าตัวเองยังได้รับความนิยมจากชาวบ้าน และคิดว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้กลับมา และยังนำมาใช้ในการรณรงค์หาเสียงของพรรคเพื่อไทย โดยเชื่อว่าจะกลายเป็นแรงส่งให้พรรคชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายหรือ “แลนด์สไลด์” เพื่อหวังจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวหรือ รัฐบาลผสมน้อยพรรคที่สุด
“ผมยืนยันว่า ยังไงก็กลับ ย้ำว่าไม่ออกกฎหมาย ไม่เกี้ยเซียะกับพลังประชารัฐแน่นอน...”
ก่อนอื่น ผมอยากจะขอโทษทุกท่าน ที่ผมเคยพูดว่าจะกลับไทยในพ.ศ.นี้ ซึ่งผมตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ ผมไปทำออกซิเจนให้ทันก่อนสิ้นปี แต่สุดท้ายสถานการณ์ยังอันตราย ลูกๆเขาเป็นห่วง แต่ผมยืนยันว่า“ยังไงก็กลับ” และผมย้ำเลยนะว่า ไม่อาศัยพรรคการเมืองใด รวมถึงเพื่อไทยด้วย อาศัยแค่หัวใจตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงผม แล้วย้ำอีกครั้งว่า “อิ๊ง จะเป็นคนประกาศเองว่าผมกลับเมื่อไหร่”
จะไม่มีการออกกฎหมายให้ผม ไม่มีการเกี้ยเซียะ กับพลังประชารัฐเพื่อออกกฎหมายแน่นอน ผมสร้างตัวเองด้วยตัวเองมาโดยตลอด เรื่องที่จะให้ผมไปง้อคน คงยาก ผมช่วยเหลือตัวเองได้ และยังไงผมก็ต้องกลับ ไม่ไหว เพราะผมโดนกลั่นแกล้งตลอดเวลาที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ยังประเมินถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า คิดว่าฝั่งประชาธิปไตยรวมกันเกิน 300 เสียงแน่ ยังไงก็เกิน ไทยรัฐโพล อันดับ 1 คือเพื่อไทย อันดับ 2 คือก้าวไกล แต่ก็เป็นโพลเช็กเรตติ้ง จากกลุ่มตัวอย่าง อาจยังไม่สะท้อนภาพทั้งประเทศ สิ่งที่น่าสนใจในนั้น คือ กทม.แทบแบ่งคนละครึ่งระหว่างเพื่อไทย กับก้าวไกล เหลือเศษนิดหน่อย โพลไหนก็บอกเพื่อไทยกับก้าวไกลชนะ แต่โพลที่ไม่เหมือนใคร คือ ซูเปอร์โพล นอกนั้นจะออกมาแนวใกล้ๆกัน ตอนสมัยคุณปู ได้ 264 เสียง ตอนนั้นเพื่อไทยได้คะแนนนิยม 48% แต่ในวันนี้คะแนนนิยมของเพื่อไทยก็ใกล้เคียงกัน ไทยรัฐโพลบอกเพื่อไทย 48% นิด้าโพลบอก 42% แต่วันเลือกตั้งจริงๆ ยังไงก็ได้เกินกว่า 48% ยังไงเพื่อไทยก็แลนด์สไลด์ แน่นอน
นั่นเป็นคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่นอกจากเรื่องยืนยันว่า “ต้องกลับบ้าน” และอ้างว่าสาเหตุที่ไม่กลับมาในปีที่แล้ว เป็นเพราะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และมีการประเมินในเรื่องความไม่ปลอดภัย จึงต้องเลื่อนออกไป แต่ยืนยันกลับแน่ และคนที่ประกาศเรื่องนี้ก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ว่าที่แคนดิเดตนายกฯของพรรค เป็นคนบอกว่าจะให้กลับมาเมื่อใด
ต่อมา วันที่ 15 ม.ค. ที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) โดยครอบครัวเพื่อไทย จัดปราศรัยใหญ่ “อีสานยามใด๋ เพื่อไทยทอนั่น” นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย มีแกนนำของพรรคร่วมขึ้นเวทีปราศรัย
น.ส.แพทองธาร ปราศรัยช่วงหนึ่งเพื่อไทยขออาสาแก้ปัญหาทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง แม้จะใช้เงินเยอะ แต่เพื่อไทยไม่กลัว เพราะเราหาเงินเป็น เราจะทำให้การเกษตรอยู่ดีกินดี ร่ำรวยกันหมด เราต้องคิดใหญ่ ทำเป็น โดยเราจะใช้เทคโนโลยีเข้ามาให้พี่น้องประชาชนแลกเปลี่ยนกับชาวต่างชาติ เราอยากให้เด็กมีอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเอง และครอบครัว คนไทยต้องมีเกียรติและศักดิ์ศรี ให้มีค่าแรง 600 บาท ค่าแรงเพื่อไทยทำได้จริง 600 บาท ไม่ไกลเกินจริง เพราะเราเคยทำ 300 บาทมาแล้ว ภายในปี 70 ค่าแรง 600 บาททำได้แน่นอนเมื่อช่วงเช้าไปรับฟังปัญหาชาวสวนยางมา เราเข้าใจปัญหามากๆ แต่ขอให้พี่น้องประชาชนอดทนรอวันที่ เพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล นอกจากนี้ คนไทยต้องปราศจากมะเร็ง เพราะเราจะมีการฉีดวัคซีนปากมดลูกฟรี
“อยากให้กลับไปบอกคนที่ไม่ได้มาวันนี้ว่า เพื่อไทยมาแล้ว มาเพื่อบอกว่าเรามาสร้างความฝัน มาเพื่อสร้างความหวัง และต้องไม่ใช่แค่ความฝัน แต่ต้องเป็นความจริง เอาลุงกลับไป เพื่อไทยมาแล้ว เอาลุงกลับไปเลี้ยงหลาน ลุงโทนี่จะได้กลับมาเลี้ยงหลานบ้าง รับเงินหมา กาเพื่อไทย ขอให้ชาวอุดรฯเลือกทั้งคนและพรรคทั้ง 9 เขต” น.ส.แพทองธาร กล่าว
อย่างไรก็ดี กลายเป็นว่า คำว่า “พาพ่อกลับบ้าน” เริ่มส่งผลสั่นสะเทือนตามมาแบบไม่คาดคิด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (ในทางลบ) อย่างแรกก็คือ ทำให้เกิดการ“แบ่งขั้ว” ชัดเจนกันอีกครั้งระหว่างฝ่ายที่ “เอา” กับ “ไม่เอาทักษิณ” กลับมาเข้มข้นอีกครั้ง
แน่นอนว่า ฝ่ายที่“เอาทักษิณ” ย่อมไม่มีปัญหา ยังไงก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย เลือกน.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพื่อหวังให้เป็นนายกรัฐมนตรี และจะทำให้ภารกิจ“พาพ่อกลับบ้าน” พานายทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านเป็นจริงมากขึ้น ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง มันก็อาจส่งผลในทางตรงกันข้าม เพราะยิ่งสร้างกระแส“กลับบ้าน” ก็จะยิ่งเกิดแรงต่อต้านเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในฝ่ายที่“ไม่เอาทักษิณ” มาแต่เดิม เริ่มกลับมาผนึกกำลังกันมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ฝ่ายที่ไม่เอาทักษิณ มีการ “แตกกระจาย” ออกไปหลายกลุ่ม หลายพรรคการเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มพรรคการเมืองแยกกันหลายพรรค เช่น พรรคพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ เป็นต้น แต่ล่าสุดจากกระแส “พาพ่อกลับบ้าน” กลับเริ่มมีแนวโน้มทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลับมาแบบเดิมอีก นั่นคือ จะมาแบบ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” จะกลับมาอีกครั้ง
และความรู้สึกแบบนี้ มันก็จะส่งผลดีกับ“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับที่สังกัดคือ รวมไทยสร้างชาติ มากกว่าใคร เพราะจะกลายเป็นว่า เขาจะเป็น“แกน” ของอีกฝ่าย ที่เป็นขั้วตรงข้ามกับฝ่ายไม่เอาทักษิณ เกิดความรู้สึกร่วมในแบบว่า “หากไม่อยากให้ทักษิณกลับมา ก็ต้องเลือกประยุทธ์” เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อการเลือกตั้งปี 62
และแม้ว่าหากเปรียบเทียบบรรยากาศระหว่างปี 62 กับการเลือกตั้งในปี 66 ความรู้สึกที่มีต่อ “บิ๊กตู่” จะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม อาจไม่เหมือนเดิม แต่อย่างไรก็ดี ฝ่ายของพรรคเพื่อไทย และความนิยมต่อนายทักษิณ ชินวัตร ในปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน หลังจากเกิดรายการแฉโพยตัวเขาออกมาจากคนที่เคยรับใช้รับใช้ใกล้ชิดแทบจะรายวัน เช่น กรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นต้น ทำให้กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดง เกิดความรวนเรมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีคู่แข่งผุดขึ้นมากมาย ไม่เว้นแม้แต่พันธมิตรในพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่าง พรรคก้าวไกล ก็ดันมาแชร์เสียงสนับสนุน
ดังนั้น หากให้ประเมินกันในยามนี้ หากจะบอกว่า “ทักษิณกลับบ้าน” หรือ “พาพ่อกลับบ้าน” มันจะกลายเป็นแรงส่งทางไหนกันแน่ เป็นบวก หรือลบมากกว่ากัน เพราะหากพิจารณาจากผลสำรวจที่ออกมา และบรรยากาศแนวโน้มที่ออกมา กลับทำให้ กระแส“บิ๊กตู่” กลับมาแรงกว่าเดิม รวมไปถึงส่งผลกับพรรครวมไทยสร้างชาติอีกด้วย ขณะเดียวกัน เหมือนกับว่า “อุ๊งอิ๊ง” ก็เริ่มเกิดแรงกระแทกมากขึ้น พร้อมๆ กับการถูกเปิดโปง “ความลับของพ่อ” มันก็ยิ่งทำให้แรงต้านเพิ่มขึ้น ทุกอย่างกำลังกลับตาลปัตรหรือเปล่า!!