เมืองไทย 360 องศา
“ผมยืนยันว่า ยังไงก็กลับ ย้ำว่าไม่ออกกฎหมาย ไม่เกี้ยะเซียะกับพลังประชารัฐแน่นอน...”
ก่อนอื่น ผมอยากจะขอโทษทุกท่าน ที่ผมเคยพูดว่าจะกลับไทยใน พ.ศ.นี้ ซึ่งผมตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ ผมไปทำออกซิเจนให้ทันก่อนสิ้นปี แต่สุดท้ายสถานการณ์ยังอันตราย ลูกๆ เขาเป็นห่วง แต่ผมยืนยันว่า “ยังไงก็กลับ” และผมย้ำเลยนะว่า ไม่อาศัยพรรคการเมืองใด รวมถึงเพื่อไทยด้วย อาศัยแค่หัวใจตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงผม แล้วย้ำอีกครั้งว่า “อิ๊ง จะเป็นคนประกาศเองว่าผมกลับเมื่อไหร่”
จะไม่มีการออกกฎหมายให้ผม ไม่มีการเกี้ยะเซียะกับพลังประชารัฐเพื่อออกกฎหมายแน่นอน ผมสร้างตัวเองด้วยตัวเองมาโดยตลอด เรื่องที่จะให้ผมไปง้อคนคงยาก ผมช่วยเหลือตัวเองได้ และยังไงผมก็ต้องกลับ ไม่ไหว เพราะผมโดนกลั่นแกล้งตลอดเวลาที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ยังประเมินถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า คิดว่าฝั่งประชาธิปไตยรวมกันเกิน 300 เสียงแน่ ยังไงก็เกิน ไทยรัฐโพล อันดับ 1 คือ เพื่อไทย อันดับ 2 คือ ก้าวไกล แต่ก็เป็นโพลเช็กเรตติ้ง จากกลุ่มตัวอย่าง อาจยังไม่สะท้อนภาพทั้งประเทศ สิ่งที่น่าสนใจในนั้น คือ กทม.แทบแบ่งคนละครึ่งระหว่างเพื่อไทย กับก้าวไกล เหลือเศษนิดหน่อย โพลไหนก็บอกเพื่อไทยกับก้าวไกลชนะ แต่โพลที่ไม่เหมือนใคร คือ ซูเปอร์โพล นอกนั้นจะออกมาแนวใกล้ๆ กัน ตอนสมัยคุณปู ได้ 264 เสียง ตอนนั้นเพื่อไทยได้คะแนนนิยม 48% แต่ในวันนี้คะแนนนิยมของเพื่อไทยก็ใกล้เคียงกัน ไทยรัฐโพลบอก เพื่อไทย 48% นิด้าโพลบอก 42% แต่วันเลือกตั้งจริงๆ ยังไงก็ได้เกินกว่า 48% ยังไงเพื่อไทยก็แลนด์สไลด์แน่นอน
ถามอีกว่า พล.อ.ประวิตร ได้ผลโพลว่ามีคนปลื้มเยอะ เป็นพี่ใหญ่สามารถประสานความขัดแย้งได้ จะมีโอกาสได้เป็นนายกฯหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ต้องถามใครตั้ง ถ้าให้ประชาชนตั้งคงไม่ได้เป็น ในระบบเลือกตั้งต้องมาดูพรรคไหนได้เท่าไหร่ เพื่อไทยกระแสแลนด์สไลด์แรง มีแรงต้านทานเยอะ แม้อยู่เมืองนอกรู้หมด ใครพบกับใคร ใครจ่ายให้ใคร เพื่อลดกระแสแลนด์สไลด์ แต่ไม่มีใครฝืนกระแสแลนด์สไลด์ได้ เราก็ฝืนหรือสั่งประชาชนไม่ได้ วันนี้ประชาชนอยากเลือกตั้ง ยังไงก็แลนด์สไลด์ ประชาชนต้องการคนมาแก้ปัญหา ไม่ต้องการคนมาเป็นนายเขา โดยคนที่มาแก้ปัญหาให้ ไม่มีใคร นอกจากเพื่อไทย บางกลุ่มมองการเมือง ไปมองที่ก้าวไกล บางคนที่เงินเยอะ ซื้อมา ก็ได้ระดับหนึ่ง เพื่อไทย ยังไงก็ 200 กว่า พรรคที่สอง ไม่ถึง 100 พรรคที่สามใกล้เคียงกัน พรรคที่สี่ ที่ห้า ไม่ถึง 50 เสียง จะเป็นเบี้ยหัวแตกมาก
พล.อ.ประวิตร อยากเป็นนายกฯแน่นอน ใส่กางเกงยีนส์มาลุยแล้ว ต้องยอมรับท่านอยากเป็น ก็เป็นความท้าทายของท่าน ต้องการแข่งกับรวมไทยสร้างชาติ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร ต่างมี ส.ว.คอยยกมือให้ ต่างคนต่างหวัง กูได้เท่านี้ เอา ส.ว.มาช่วยยกมือ ก็ได้เป็นนายกฯ ก็สาธุ ฝั่งประชาธิปไตยได้เกิน 300
นั่นคือ คำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่” ที่พูดในคลับเฮาส์ กับเครือข่ายผู้สนับสนุนของพวกเขาล่าสุด ในหลายเรื่อง แต่ประเด็นสำคัญที่ชาวบ้านอยากรู้ ก็คือ เรื่องที่ถูกนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. แกนนำคนเสื้อแดงออกมาเปิดโปงแบบพรั่งพรู ว่าเป็นนักประชาธิปไตยจอมปลอม หลอกใช้คนเสื้อแดงเพื่อให้ตัวเองและคนในครอบครัวได้ประโยชน์ เมื่อได้ทุกอย่างสมใจแล้วก็ทิ้งขวางแบบไม่ใยดี รวมไปถึงระบุถึงความ “อำมหิต” ที่หลอกให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้องไปติดคุกแทนจากคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว
ทั้งที่จะว่าไปแล้วเรื่องแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ที่กระทบทั้งความรู้สึกของมวลชน และเป็นความเสียของตัวเองที่ต้องรีบชี้แจงตอบโต้ หรืออย่างน้อยก็ต้องปล่อยให้บรรดา “ลูกน้อง” ดาหน้าออกมาตอบโต้ เหมือนกับทุกครั้งที่มีการพาดพิงถึง แต่คราวนี้กลับตาลปัตร เนื่องจากทุกคนเงียบกริบ ทั้งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ที่กล่าวในคลับเฮาส์ในหลายเรื่อง แต่กับเรื่องที่ถูก นายจตุพร กล่าวถึง กลับไปเฉไฉไปพูดเรื่องอื่น ไม่กล้าพูดถึง ไม่กล้าเอ่ยถึงนายจตุพร โดยตรงด้วยซ้ำไป
ทำให้หลายคนเชื่อว่า สาเหตุที่ต้องนิ่งเงียบ ไม่กล้าออกมาตอบโต้ หรือสั่งลูกน้องรายอื่นๆ ที่เคยปากดีทั้งหลายต้องเงียบ เนื่องจากเกรงว่า หากยังไม่เงียบจะต้องถูก “สาวไส้ออกมาอีก” และหนักกว่าเดิม ประเภทไส้กี่ขดรู้หมด จึงยอมกัดฟันเงียบเสียงเอาไว้ รอจังหวะเช็กบิลทีหลังอะไรประมาณนั้นหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี เมื่อวกกลับมาที่คำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะกลับบ้านภายในปี 65 ซึ่งในที่สุดก็ไม่กล้ากลับมาเหมือนกับหลายครั้งที่เคยพูดเอาไว้ แต่ไม่เคยทำตามที่พูดเอาไว้ ตัวอย่างที่เคยพูดเมื่อครั้งเกิดการชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อหลายปีก่อน ที่เขาพูดปลุกเร้ากับผู้ชุมนุมว่า “หากเสียงปืนแตกเมื่อใด หรือทหารยิงประชาชนผมจะออกมาเดินนำเอง” อะไรประมาณนี้ ซึ่งเรื่องนี้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ยังเพิ่งเอามาเย้ยล่าสุดทำนองว่า “เขายิงมาเป็นแสนนัดแล้วก็ยังไม่ออกมา”
นั่นคือ พฤติกรรมและคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกคนอย่างนายจตุพร เยาะเย้ยในเรื่องจริงว่า “ไม่ใช่นักประชาธิปไตย แต่เป็นแต่นักธุรกิจที่คิดแค่กำไรขาดทุนเท่านั้น” ซึ่งเป็นคำพูดที่มีความหมายตรงที่สุด และโดยทั่วไปชาวบ้านที่ติดตามพฤติกรรมของนายทักษิณ จะรับรู้กันอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนแบบนี้ เพียงแต่ว่าจากคำพูดของนายจตุพร ทำให้เหมือนกับเป็นการตอกย้ำความจริงดังกล่าวออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง
หากมองในอีกมุมหนึ่ง ก็คือ ความหมายในการ “กลับบ้าน” สำหรับนายทักษิณ ก็คือ เขาอยากกลับตลอดเวลา แต่ไม่ใช่กลับมาติดคุก เพราะความต้องการของเขาก็คือ “กลับมาแบบเท่ๆ แบบไม่มีความผิด” ซึ่งวิธีการแบบนี้ก็ต้องทำให้พรรคเพื่อไทย ได้เป็นรัฐบาลก่อน และนี่คือเป้าหมายที่โหมโรงเรื่อง “แลนด์สไลด์” นั่นเอง และล่าสุดเขาก็หลุดปากออกมาอีกว่า กลับมาเมื่อไหร่ ก็ต้องรอให้ “อิ๊ง” ประกาศให้กลับ ซึ่งก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของเขาที่เป็นว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเป็นคนดำเนินการ ซึ่งแน่นอนว่ามีวิธีการหลายอย่าง ไม่จำเป็นที่พรรคเพื่อไทยเป็นคนนำเสนอ “กฎหมายนิรโทษฯ” โดยตรง อาจให้พรรคการเมืองอื่นนำเสนอเพื่อให้ดูแนบเนียน
และน่าสังเกตก็คือ ล่าสุด เริ่มมีการพูดถึง “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยมากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะมั่นใจแต่เรื่องรัฐบาลพรรคเดียวชนะเกิน 251 เสียง แบบเกิน 300 เสียง ไม่ต้องง้อใคร แต่วันนี้เริ่มเสียงอ่อยลงไปแล้ว มีพรรคร่วมเข้ามาแล้ว แต่เป้าหมายสูงสุด ก็คือ “ต้องกลับบ้าน” ตามที่ “อุ๊งอิ๊ง” ได้ประกาศบนเวทีนั่นแหละว่า “ต้องพาพ่อกลับมา” ส่วนจะได้กลับมาหรือไม่ หรือกลับมาแบบไหน อีกไม่นานก็รู้กัน !!