แค้นไม่หาย! “สมศักดิ์ เจียม” โกรธมาก “ทักษิณ” ออก พ.ร.บ.เหมาเข่ง เพื่อตัวเอง จนทำให้มวลชนเสื้อแดงติดคุกยาว เสียอนาคต “จตุพร” ฟาดไม่เลี้ยง “ดีลลับ” แลกพากลับบ้าน หลอก “บุญทรง-ภูมิ” ติดคุกแทนคดีจำนำข้าว
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 ม.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul ของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ ผู้ต้องหา ม.112 ลี้ภัยในฝรั่งเศส โพสต์ข้อความระบุว่า
“ตั้งแต่ม็อบเสื้อแดงปี 52 มีผู้ต้องหาที่ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ และไม่ได้รับการตัดสินมานานมาก พวกเขาอยู่ในนั้นมาแล้ว 7 ปี ใช้ชีวิตเหมือนนักโทษที่ไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไรแม้แต่อย่างเดียว ถูกกล่าวหาว่า ร่วมกันก่อจลาจล มีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองถูกรื้อคดีซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับการตัดสิน มันสมควรแล้วหรือที่พวกเขาต้องเสียเวลาชีวิตอยู่ในนั้นเพียงเพื่อการต่อสู้ต่อต้านสิ่งที่ผิด”
นี่คือ ผลของการออก พ.ร.บ. “เหมาเข่ง” ที่มีมาจนถึงปัจจุบัน คือ คนที่ติดคุกตั้งแต่คราวเสื้อแดงปี 2552-2553 ไม่ได้รับการปล่อยตัว เพราะหมดโอกาสไปจากการออก พ.ร.บ.เหมาเข่ง ผมไม่รู้ว่าจนบัดนี้เหลือคนที่ติดคุกอยู่เท่าไร มีเท่าไรที่ปล่อยออกไปหลังจากติดคุกมาครบ (ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด)
สิ่งที่ผมโกรธมาก จากการออก พ.ร.บ.เหมาเข่ง ตอนนั้น ก็คือ เรื่องนี้ คือ ทำลายอนาคตของมวลชนตัวเล็กตัวน้อยลง เพื่อเห็นแก่ “นายใหญ่”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 65 นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ ผู้ลี้ภัยในฝรั่งเศส เคยโพสต์เพจเฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul พร้อมโพสต์ภาพ “จุดยืน แก้ ม.112” ของพรรคเสรีรวมไทย พร้อมข้อความระบุว่า
“อันนี้ออกมาหลายวันแล้ว และโดยทั่วไปก็ไม่เพียงพอนัก แต่เอามาให้ดู เพื่อชี้ให้เห็นว่า พรรคที่มีความเป็นตัวเอง เขาบอกออกมาว่าต้องการอะไร ไม่ใช่อ้อมแอ้มๆ ว่า “ยังไม่พิจารณา” บ้าง “ขอทำเรื่องเศรษฐกิจก่อน” บ้าง ความจริงก็ควรรู้กันได้แล้วว่า เป็นคำแก้ตัว หลีกเลี่ยงไปเรื่อยๆ (มองในแง่หนึ่ง ไม่ต่างจากพรรคอย่าง ปชป.ที่ออกมาปฏิเสธเลยด้วยซ้ำ หรือแย่ยิ่งกว่า)”
โดยก่อนหน้านี้ นายสมศักดิ์ ได้โพสต์ข้อความว่า "ทักษิณผิดตรงไหน? ผมเขียนกระทู้นี้เพื่อให้เห็นชัดๆ ว่า ในทัศนะของผม ทักษิณผิดตรงไหน
ผมมีปัญหากับทักษิณอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่ผมเห็นว่าผู้นำมวลชนควรต้องมี นั่นคือ ผมเห็นว่า ทักษิณเอาการกลับบ้านของตัวเองเป็นตัวนำหน้า เอาอิสรภาพของมวลชนที่ติดคุกเป็นเครื่องมือที่จะใช้ต่อรองเอาตัวเองกลับ แทนที่จะหาทางเอาพวกเขาเหล่านั้นออกมาก่อน เรื่องของตัวเองไว้ทีหลัง
นี่เป็นคุณธรรมที่ผมรับไม่ได้ (ผมเห็นบรรดาใครต่อใครที่พากันหันเข้าหาทักษิณตอนนี้ แล้วเศร้าใจ ผู้นำมวลชนที่มวลชนของตัวเองติดคุกอยู่ ยังเอาอิสรภาพพวกเขาเป็นเครื่องมือ หาจังหวะยื่นชื่อตัวเองติดไปด้วย ... ถ้าพวกเขารับเรื่องนี้ได้ ก็ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นกันแล้ว)”
ขณะเดียว นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายนิติธร ล้ำเหลือ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “คนพูดเท็จ ไม่ทำบาป ย่อมไม่มี” เมื่อ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมีรายละเอียดบางตอน ดังนี้
นายจตุพร กล่าวว่า การโกหกของผู้ปกครองเป็นเล่ห์เพทุบาย เมื่อโกหกซ้ำๆ และยังเข้าใจว่า สิ่งโกหกเป็นความถูกต้อง ยิ่งผู้ปกครองพูดกับลูกน้องในเรื่องเดียวกัน แต่ไม่ตรงกัน จึงทำให้ทะเลาะกันวุ่นวาย อีกทั้งการเมืองมักเต็มไปด้วยเรื่องเท็จและจริงผสมกัน ดังนั้น ศิลปะการเมืองที่ใช้ได้ผลก็เอาความจริงกับเป้าหมายเท็จมาผสมกัน คนฟังจึงเชื่อว่าเรื่องเล่าเป็นความจริง แต่นักการเมืองกลับซ่อนเป้าหมายเท็จเอาไว้
ในสถานการณ์การเมืองขณะนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แสดงความเซียนลงพื้นที่หาเสียงปาดหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสมอ และปฏิบัติการไปเยาวราชในเทศกาลตรุนจีนสะท้อนถึงความเหนือชั้น แล้วยังไม่มีเสียงคนบ่นด่า
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ไปเยาวราชตามหลัง เปลี่ยนคนใหม่มาขับรถ หลงทาง มาช้ากว่าเวลานัด ถูกคนด่าหลอกลวงประชาชน ตะโกนให้หลบทางอย่าเกะกะ แล้วรถนำขบวนชนกัน ดังนั้น การแสดงของ พล.อ.ประวิตร จึงโชว์เหนือกว่าแบบเซียนการเมือง เมื่ออาการสังคมนำร่องเช่นนี้แล้ว ต่อไปการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือนักการเมืองคนอื่น อาจจะมีคนมาตะโกนด่าจึงหลีกเลี่ยงได้ยากมาก
“แล้วจะเกิดวิวัฒนาการไปสู่การปะทะกัน กระทืบกัน ตีกัน เกิดโกลาหล วุ่นวาย เป็นการสร้างสถานการณ์น้ำผึ้งหยดเดียวไม่ยากเลย แม้แต่ละพรรคไม่รู้เรื่องเลย แต่มีการเตรียมการของบางกลุ่มที่เตรียมสร้างความวุ่นวายกันไว้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนจากปรากฏการณ์ที่เยาวราช แล้วจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่น แบบมีการจัดให้และจัดเต็ม”
นายจตุพร กล่าวว่า ปรากฏการณ์แบบเยาวราชนั้น ถ้าตราบใดยังจัดการไม่ให้บ้านเมืองถูกต้องก่อน โดยเฉพาะเรื่องวุฒิสภา 250 คน การเลือกตั้งแทบไม่มีความหมายใดๆ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มต้นที่เสียง 250 และวุฒิสภาก็ไม่มีวันโหวตให้อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร และพรรคการเมืองอื่นเลย รวมทั้งองค์กรอิสระล้วนอยู่ในมือกับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้น สองคนนี้จึงได้เปรียบหาเสียงเลือกตั้ง
“ที่เราตั้งคำถามว่า เพื่อไทยก่อนเลือกตั้งไม่จับมือกับใคร ถ้าหลังเลือกตั้งจะจับมือกับ พล.อ.ประวิตร หรือเปล่า เพราะเราเข้าใจธรรมชาติของนักการเมือง ที่เป็นเช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ชัยชนะด้วยเสียงเสื้อแดง แล้วไปใช้บริการคุ้มกันภัยจาก พล.อ.ประยุทธ์ จนถูกตลบหลังยึดอำนาจ จนแพ้ราบคาบ”
นายจตุพร กล่าวว่า การที่ พล.อ.ประวิตร จะเป็นเหมือนความหวังเดิมเช่นดังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปใช้บริการของ พล.อ.ประยุทธ์ และเชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกตนวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะไปฟ้องยิ่งลักษณ์ แล้วยิ่งลักษณ์จะโทร.มาบอกว่า ปูขอนะ อยู่สภาพแบบนี้ตลอด ทั้งที่ตนเตือนต้านยึดอำนาจ แต่รัฐบาลไม่เชื่อตน กลับเชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จะให้ความคุ้มครองได้ ถึงที่สุดก็ถูกยึดอำนาจ
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ในสังคมโซเชียลมักชอบคนพูดเท็จแล้วมีความสุข และไปสรรเสริญกัน ทั้งที่ตนไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อแม้แต่วันเดียว ขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องการให้อำนาจที่ได้จากประชาชน ไปตกอยู่ในมือของคนที่ไม่ยอมแก้ไขปรับปรุงตัวเอง
นายจตุพร ยืนยันว่า ไม่ได้ขัดขวาง ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน ถ้ากลับมาไม่ต้องติดคุก หากไม่อยากติดคุก เมื่อเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ต้องประกาศ พ.ร.ก.นิโทษกรรม แล้วจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่กังวล คือ ความพยายามไปดีลในสิ่งที่ไม่ควรดีล ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตนไม่ต้องการอธิบายรายละเอียด
“แต่คนที่ไปดีลนั้น ต้องรู้ว่าไม่ควรทำอย่างยิ่ง ในสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความละเอียดอ่อน ซึ่งคนไปทำย่อมจะรู้ว่าหมายถึงอะไร แต่สิ่งสำคัญที่สุด เราต้องการพาประเทศข้ามพ้น จึงชวนประชาชนมาร่วมนับหนึ่งกันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีอะไร ขอให้เป็นประชาชนก็มาร่วมกัน”
นายจตุพร ย้อนเล่าว่า ช่วงหนึ่งเมื่อมาใช้บริการ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องสลายเสื้อแดง ได้พาแกนนำไปพบ ซื้อของหรู พร้อมให้เบอร์โทร.ต่อตรงถึงกันได้ แกนนำพวกนี้จึงไม่ร่วมต่อสู้ เอาแต่ถ่ายรูปส่งไปรายงาน จนตนต้องกัดฟัน ทนเจ็บออกมาต่อสู้แบบกระอักเลือดอีก ดังนั้น ถ้าไม่สมคบกันยึดอำนาจแล้ว ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ แน่
รวมทั้งระบุว่า สิ่งที่สำคัญ เราต้องการบอกประชาชนให้เห็นปลายทาง ว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เจอกลเกมจัดสร้างเผชิญหน้ายืนด่าซึ่งๆ หน้า จะทนได้หรือไม่ แล้วถ้าการจัดเตรียมกำลังสมยอมกัน แสดงการรุมกระทืบกันช่วงหาเสียงเลือกตั้งก็จะลามวุ่นวายไปทั่วพื้นที่ ดังนั้น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการเลือกตั้งก็จะลงพื้นที่หาเสียง แม้มีสถานการณ์กลเกมจัดสร้างก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการเลือกตั้งจริงหรือไม่
“การวิพากษ์วิจารณ์ และสิ่งที่เราพูด เพียงแต่ถามจะเป็นแบบเดิมหรือไม่ ผมบอกอีกครั้งว่า ถ้าต้องการร่วมมือกับ พปชร. แล้ว ประกาศตั้งแต่วันนี้เสียเลย ในวันข้างหน้าถ้าคุณจับมือกันแล้ว คุณเอาสถานการณ์ไม่อยู่หรอก เพราะคนชั้นกลางที่เลือกคุณอย่างจิตใจบริสุทธิ์ เขาจะทนคุณไม่ได้ และต้องทำใจก่อนว่า คุณได้ พปชร. แต่จะเสียก้าวไกล แล้วจะมีการโยกย้ายถ่ายเทและนำไปสู่ชนวนอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้เพียงแค่บอกประชาชนอย่างตรงไปตรงมา” นายจตุพร กล่าว
นอกจากนี้ ในเฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน “คนพูดเท็จ ไม่ทำบาป ย่อมไม่มี” นายจตุพร ยังกล่าวเอาไว้
ช่วงหนึ่งถึงคดีจำนำข้าว ว่า
กรณีคดีจำนำข้าวนั้น ความอำมหิตของฝ่ายเดียวกัน โดยสั่งให้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ ไปฟังคำตัดสินของศาล ทั้งที่สองคนนี้เตรียมหลบภัยไปอยู่เขมร และบางคนซื้อบ้านที่อังกฤษไว้แล้ว ซึ่งพฤติกรรมอำมหิตจากฝ่ายเดียวกัน ได้หลอกให้ไปถูกจับขังคุก
นายจตุพร ระบุว่า สิ่งนี้แสดงถึงโลกความเป็นจริง ว่า อำนาจในบางช่วงก็ทะเลาะกันและบางตอนยังจับมือร่วมกันได้นั่นเอง มีแต่พวกเรา ประชาชนเป็นคนโง่ ถูกหลอกซ้ำๆ เหมือนเดิม ดังนั้น เราจะปล่อยให้บ้านเมืองไปแบบนี้หรือ? เมื่อการเมืองเป็นเพียงการแสดง จึงเป็นบทเรียนที่สำคัญ และคนในเพื่อไทยรู้หมด แต่พูดไม่ได้จะเป็นภัย ส่วนตนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใด แต่ต้องการพูดความจริง เพื่อไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีกแบบเดิมๆ
“คุณฟังผมดีๆ เพื่อไทยชนะอยู่แล้ว แต่ถ้าชนะแบบเดิม แล้วเป็นแบบเดิมก็จะได้แค่ 3 ปีแล้วเสีย 9 ปี ไม่ใช่เพื่อไทยเสีย แต่ประเทศ ประชาชนเสีย เหมือนกับเดินไปสะดุดก้อนหินก้อนเดิม ล้มหัวคะมำทุกครั้ง ผมจึงทักอย่าเดินไปสะดุดก้อนหินก้อนเดิมได้มั้ย” (จากสยามรัฐออนไลน์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ กรณี “สมศักดิ์ เจียม” เป็นการเก็บเกี่ยวบทเรียนในอดีต มาชี้ให้เห็นอนาคต เพื่อให้สังคมประชาชนตัดสิน
ขณะเดียวกัน กรณี “จตุพร” ถือว่า เป็น “คนใน” นำเอาเรื่อง “ภายใน” ที่ก่อนหน้านี้ มีคนสงสัย แต่ยังหาคำตอบไม่ได้ วันนี้ หลายประเด็น “มีคำตอบ”
รวมทั้งมีเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ ก็ได้รับการเปิดเผยด้วย
ส่วนว่า จริงหรือไม่อย่างไร คนที่ทำย่อมรู้อยู่แก่ใจดี ก็ขึ้นอยู่กับ “วิจารณญาณ” ของประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเช่นกัน