นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เลือกตั้งไปก็ได้พวกเหมือนกันเข้าสู่อำนาจ แฉ!! ทั้ง 3 ป.-ระบอบทักษิณ ล้วนทำ ปท.ฉิบหายไม่แตกต่างกัน แนะ “ประยุทธ์” ออก เลียนแบบนายกฯ นิวซีแลนด์ พูดตรงขืนอยู่ต่อกลัวทำ ปท.เสียหายร้ายแรง ติงทุนประมูลวงโคจรดาวเทียม ส่อทำบ้านเมืองเละเทะ ไม่มีอะไรเหลือ ย้ำไม่เอาประยุทธ์กับคนมาใหม่ที่ทำตัวเหมือนประยุทธ์
เมื่อ 20 ม.ค. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายนิติธร ล้ำเหลือ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ต้องไม่ลืม อำนาจเป็นของประชาชน" มี ธงไชย คำวิเศษณ์ ดำเนินรายการ ระบุว่า รธน.กำหนดอำนาจเป็นของประชาชน แต่นักการเมืองและรัฐบาลกลับทำป่นปี้แล้วนำไปให้กลุ่มทุนครอบครองผูกขาดเอาผลประโยชน์
นายนิติธร หรือทนายนกเขา กล่าวว่า พัฒนาการทางประชาธิปไตยจะอาศัยเฉพาะนักการเมือง หรือนักวิชาการไม่ได้ เพราะถ้าทำให้เกิดเป็นจริงนั้น ต้องทำจากอำนาจของผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง เมื่อตาม รธน. 60 เขียนว่า อำนาจอธิปไตย “เป็นของ”ปวงชนชาวไทย ถ้าคิดแค่ “มาจาก” ประชาชนความสัมพันธ์ด้านสิทธิจะลดคุณค่าลง ยิ่งการเลือกตั้งขณะนี้ แค่ได้เลือกให้เป็น ส.ส. แต่เอาอำนาจอธิปไตยของประชาชนไปทำอย่างอื่นหมด ทั้งการสรรหาคนไปนั่งองค์อิสระ จึงทำให้ขาดความสัมพันธ์กับประชาชน ดังนั้นองค์กรนี้จึงไม่สนองตอบต่อประชาชน
นอกจากนี้ ใน รธน.ยังกำหนดให้กฎหมายขัดกับ รธน.ใช้บังคับไม่ได้ แสดงว่าขัดกับอำนาจอธิปไตยของปวงชนใช้บังคับไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ กรณีวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ เกิน 8 ปี หรือการประมูลวงโคจรดาวเทียมไทยคม ไดสะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไม่สำคัญเท่าความเห็นของคนไม่กี่คนที่มาจากการสรรหา
อีกทั้ง การเขียน รธน.เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนนั้น ผิดมาตั้งแต่การไม่ให้ประชาชนมาเขียนขึ้นเอง นอกจากนี้ยังมีคำถามพ่วงที่สะท้อนการต่อท่ออำนาจ รปห. ที่ให้รัฐสภาไม่ใช่เฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เลือกนายกฯ จนนำมาสู่ความพินาศของประเทศ เพราะเกิดการยึดมั่นตัวบุคคล รวมถึงคณะผู้บริหารประเทศขณะนี้ไม่ได้มาจากอำนาจอธิปไตยปวงชนชาวไทยเช่นกัน แต่มาจาก รธน.พ่วงที่ไม่ยึดโยงประชาชน
นายนิติธร กล่าวว่า รูปแบบการได้อำนาจของ 3 ป.นั้น ไม่สอดคล้องกับการปกครองแบบประชาธิปไตย ตามที่ประชาชนคาดหวังไว้แท้จริง จึงกระทบกระเทือนสถาบันกษัตริย์ เพราะต้องลงพระปรมาภิไธย แต่หลักการประชาธิปไตย มี รธน. และปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษะตริย์เป็นประมุขนั้น หมายความว่า พระมหากษัตริย์อยู่ใต้ รธน. ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง และอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง
“แต่ทุกอย่างทำให้คลุมเครือเหมือนพระมหากษัตริย์ทรงมามีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง โดยเฉพาะการแสดงออกของกลุ่มทุนก็ดี วมถึงนายกฯ ซึ่งสร้างภาพโหนสถาบันกษัตริย์ตลอดเวลา จึงไม่แปลกที่เกิดปรากฎการณ์ออกมาเรียกร้องหลายสิ่งหลายอย่างจากพระมหากษัตริย์ เพราะแสดงให้เห็นถึงฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารไม่ได้่ปกป้องสถาบันกษัตริย์ และไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมากษัจตริย์เป็นประมุข”
พร้อมกล่าวว่า การปกป้องพระมหากษัตริย์ในเหตุการณ์ที่เกิดปัจจุบันนั้น ไม่ได้หมายถึงการถวายชีวิต แต่ต้องใช้ปัญญา และใช้จิตสำนึกจงรักภักดีที่มีอยู่จริง แต่สภาพเหตุการณ์วันนี้ การแสดงออกกับการปล่อยให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นราวกับเป็นสภาพที่คล้อยตามกันไปหมด
“ดังนั้นข้อเรียกร้องของเยาวชนที่ต้องการล้ม หรือ ปฏิรูป หรือยกเลิก ม. 112 ในมุมกลับนั้น พวกนี้กำลังเรียกร้องให้กษัตริย์ลงมาเกี่ยวข้องกับทางการเมือง จะต้องถามว่า จะเอากันอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าให้มาเกี่ยวข้อง ตัดสินใจทางการเมืองก็ต้องย้อนกลับไปเป็นระบอบราชาธิปไตย”
นายนิติธร กล่าวว่า อำนาจอธิปไตยจะเชื่อมโยงกับสิ่งสำคัญคือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีปัญญา ยิ่งถ้าใช้อำนาจอธิปไตยแบบไม่เข้าใจก็จะเกิดพรรคการเมืองที่ใช้คำหาเสียงว่า แลนด์สไลด์ได้ เพราะเป็นการดูถูกประชาชน เนื่องจากการดำรงอยู่ของพรรคการเมืองจนถึงระบอบปัจจุบัน ไม่ได้ส่งเสริมหรือทำความเข้าใจกับอำนาจอธิปไตย ดังนั้น การเลือกตั้งจึงจมอยู่กับการซื้อเสียง
อย่างไรก็ตาม การปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น ต้องเป็นการปกครองบนพื้นฐานความรู้ เพราะจะตัดขาดจากอารมณ์โดยสิ้นเชิง ถ้าติดพรรค ติดพวก ติดตัวบุคคลแล้ว สิ่งที่แสดงออกจึงไม่ใช่ประชาธิปไตย เนื่องจากประชาธิปไตยต้องอยู่ด้วยเหตุผล และความสมเหตุสมผล
“ดังนั้น ถ้าประชาชนดำรงอยู่เช่นนี้ได้ การหาเสียงก็จะไม่เกิดแบบสิ่งที่เรียกว่า แลนด์สไลด์ ไม่เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกบุคคลโดยการเอาเสื้อพรรคไปคลุม ลักษณะแบบนี้เป็นการไม่สนกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น เอาแต่ตัวกู อารมณ์กูเท่านั้น”
อีกทั้ง กล่าวว่า เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตาม รธน. ม. 3 แล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองจึงไม่ใช่การเลือกตั้งอย่างเดียว และต้องไม่ใช่ตาม รปห. ด้วย หากเอาตาม ม.3 ของ รธน.นี้แล้ว หมายความว่า ประชาชนทุกคนในประเทศจะเปลี่ยนแปลงก็ได้ ทำใหเกิดสภาประชาชนก็ได้ ขณะเดียวกันคำว่าเป็นของปวงชนชาวไทย ประชาชนยังสามารถตั้งหน่วยความมั่นคงขึ้นมาเคียงคู่ทหารเพื่อสร้างความสมดุลเชิงอำนาจกันก็ทำได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ
นายนิติธร กล่าวว่า ขณะนี้ ทั้งระบอบ 3 ป. ระบอบทักษิณ หรือระบอบทุนตรงกลาง และนักการเมืองมีการเชื่อมต่อเป็นกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากไม่ได้แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกระจายทรัพย์กรอย่างเท่าเทียมมกันไม่ได้เกิดขึ้น และไม่ให้ประขาชนมาเกี่ยวข้องกับกิจการด้านต่างประเทศ ดังนั้นทุกอย่างที่ประชาชนต้องการให้เกิดขึ้น อำนาจต้องเป็นของปวงชนอย่างแท้จริงก่อน ถ้าไม่จริงแล้ว เรีกยร้องอย่างไรก็ไม่ได้มา เพราะเขาไม่ให้
ทางด้านนายจตุพร กล่าวว่า นายกฯ นิวซีแลนด์ ประกาศลาออก สิ่งหนึ่งอ้างถึงการหมดพลังในการทำงาน อยู่ต่อไปจะเป็นการทำร้ายประเทศ ซึ่งนายกฯ ไทยจึงควรฟังนายกฯ นิวซีแลนด์ ที่บอกลาตำแหน่งด้วยสัจธรรมอำนาจว่า อยู่ไปฉันก็อาจทำร้ายประเทศ ดังนั้น คนที่จะเข้าสู่อำนาจก็ควรฟังด้วย
ส่วนกรณีการประมูลวงโคจรดาวเทียมไทยคมนั้น นายจตุพร กล่าวว่า คนที่ประมูลต้องการได้ครอบครองวงโคจรทั้ง 6 วงเท่านั้น แล้วจะนำดาวเทียมของตัวเองขึ้นวงโคจรแทนดาวเทียมไทยคม ดังนั้น เราจะเอาอะไรไปควบคุมความเสียหายของประเทศ ถ้าปล่อยให้คนพวกนี้ได้ไปทั้ง 6 วงโคจร ซึ่งไม่รู้สภาพประเทศจะเหลืออะไร เราควบคุมไม่ได้ เราสูญเสียผลประโยชน์ชาติ ทั้งทรัพยากร ความมั่นคง วันนี้จะทำอะไรได้ ดูสายสัมพันธ์ผลประโยชน์โยงใยกันหมดทั้งคนเก่าและผู้มาใหม่ รวมทั้งไฟฟ้าจะทำอย่างไร เมื่อมันโยงกันหมด
"ใครเปิดประตูความมั่งคั่งให้คนนี้ จนกระทั่งเวลานี้ยึดครองกันไปหมดแล้ว บ้านเมืองจึงอยู่ด้วยความสิ้นหวัง ส่วนประชาชนได้แต่หวังเล็กๆ ต้องการมีกินมื้อต่อมื้อ หวังชีวิตจะได้ดีขึ้นมาหน่อย แต่พวกนี้กินที่เป็นคำ เป็นกอบ เป็นกอง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ความเป็นธรรมใดๆกับประชาชนเลย”
กรณีถูกบางฝ่ายกล่าวหาว่าย้ายข้างสลับขั้วแล้วนั้น นายจตุพร กล่าวว่า การออกมาวิพากษฺวิจารณ์ เพื่อต้องการให้บ้านเมืองเดินในแนวทางถูกต้อง ถ้าไม่พูดความจริงกันบ้าง ผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่ายก็ชอบคำสรรเสริญเยินยอ วันนี้มากล่าวหาตนย้ายขั้วสลับข้าง แต่ตนวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ มากที่สุด และถูกจับขัง ถอนประกัน ตั้งแต่ คสช.ก็ถูกปรับทัศนคติไม่ถ้วน ถึงวันนี้ก็นั่งวิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์ มีอะไรไม่พูดบ้าง
“เราเห็นว่าคนเก่าก็เป็นปัญหา และพยายามจะไปต่อ ส่วนคนใหม่ก็ลีลาเดิมเข้ามาก็ฉิบหายเหมือนเดิมอีก แล้วอย่าบอกว่า สามารถต้าน รปห.ได้ โกหกกันทั้งเพ ถึงที่สุดไม่ต่อต้านแล้ว ยังแอบไปรวมมือด้วยก็ยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ ก็อย่างที่บอกว่า คน (ในที่ชุมนุมถนนอักษะเมื่อปี 2557) หายวับไปกับตา”
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ไม่ต้องการพาประเทศไปถึงจุดเดิม เพียงต้องการพาประเทศให้รอด วันนี้ประเทศมีหนี้สาธารณะ 10 กว่าล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนก็ 15 ล้านล้านบาท วงโคจรดาวเทียมก็ขาย ไฟฟ่้าก็ปล้นไป น้ำมันยังปล้นอีก ทั้งสินค้าขายปลีกขายส่ง สินค้าเกษตรไม่เหลือถูกรวบผูกขาดจนไม่เหลืออะไรแล้ว
“ที่ดินก็นำขาย มีนอมินีครอบครอง อะไรที่เป็นของที่มีรายได้เข้าประเทศก็ยกให้กลุ่มทุนหมด แต่ของฉิบหายกลับไม่ขาย เช่น รถไฟ ขสมก. องค์การฟอกหนัง แต่นี้กลับเอาของที่ทำรายได้เพื่อใช้หนี้ให้บ้านเมืองไปประเคนให้เขาหมด”
ประเทศไทยต้องมาก่อน