xs
xsm
sm
md
lg

“ตู่-จตุพร” เหน็บ “ทักษิณ” เจ้าของ “ทรยศ-ปชต.-ซื่อสัตย์-ไม่ทิ้ง ปชช.” “กูรู” ชี้ บางพรรคหาเสียงไร้คุณธรรม 2 แบบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายจตุพร พรหมพันธุ์ หรือ ตู่ วิจารณ์ “นายเก่า” ยับ จากแฟ้ม
“แม้ว-ประยุทธ์” ไม่ไหวทั้งคู่! “ตู่-จตุพร” ลั่น “ไม่มีเหตุผลต้องย้ายขั้ว” เหน็บ “ทักษิณ” เจ้าของ “ทรยศ-ปชต.-ซื่อสัตย์-ไม่ทิ้ง ปชช.” “ยิ่งลักษณ์” อยากเห็นประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริง “กูรู” ชี้ หาเสียงไร้คุณธรรม 2 แบบ

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (20 ม.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ประชาชนคนไทย (ปท.) เผยแพร่คำกล่าวของ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ที่เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “การเมืองสาละวันเตี้ยลง”

โดย นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองไทยติดกับดักมาตลอดกับการเลือกข้าง หากไม่เลือกข้างใด แต่วิจารณ์ทั้งสองข้างทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ทักษิณ ชินวัตร อย่างตรงไปตรงมา จึงเป็นเรื่องยากมากที่สุด ตนบอกได้ว่า การติดคุกที่ผ่านมาเกิดจากการต่อสู้เพื่อปกป้องให้ทักษิณทั้งสิ้น และตอนนี้ก็ไม่เป็นสมาชิกพรรคใด แม้กระทั่งล่าสุด กรณีเอกสารกระทรวงการต่างประเทศก็ถูกอัยการฟ้องตนคนเดียว ก็เป็นเรื่องปกป้องทักษิณเช่นกัน ดังนั้น ตนจึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องไปย้ายขั้วย้ายข้างไปอีกฝ่ายหนึ่ง ขณะนี้การวิจารณ์ของพวกตนดูจะหนักไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่าทักษิณ เพื่อชี้ทางออกให้ประเทศอย่างตรงไปตรงมา

ส่วนการวิจารณ์พรรคเพื่อไทยนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เนื่องจากเอาประชาธิปไตยมาผูกขาด ตนเห็นว่า เพื่อไทยละเลงประชาธิปไตยจนเละเทะไปหมด การพยายามชูคำขวัญเป็นพรรคนักประชาธิปไตย ใครย้ายออกเป็นผู้ทรยศ เป็นเผด็จการ และใครย้ายเข้ามาพรรคก็เป็นประชาธิปไตย ความจริงถ้าเพื่อไทยไม่แสดงตนในบทบาทนี้ แล้วบอกการย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติธรรมดา เราก็วิจารณ์ไม่ได้

นายจตุพร ย้อนการอ้างนักประชาธิปไตยของเพื่อไทย ว่า ปรากฏการณ์ที่จังหวัดศรีสะเกษ มี ส.ส.เพื่อไทย ย้ายไปภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยรับสภาพไม่ได้ ประกาศไล่หนูตีงูเห่า ประณามเป็นผู้ทรยศ แต่ไม่อธิบายถึงการเอาคน พปชร. เข้ามาเพื่อไทยด้วย แล้วกลายร่างเป็นประชาธิปไตยโดยฉับพลัน นอกจากนี้ อุดรธานี นายจักรพรรดิ ไชยสาร ย้ายไปภูมิใจไทย กลับเป็นเผด็จการ ส่วน นายธีรชัย แสนแก้ว ย้ายจากภูมิใจไทย มาเพื่อไทย ทั้งที่ถูกด่าเป็นเผด็จการมากว่า 10 ปี ก็กลายเป็นนักประชาธิปไตย

นอกจากนี้ ยังมีกรณีเลือกตั้ง นายก อบจ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทยมาตลอด แต่ถูกโจมตีเพียงเอาดอกไม้แสดงความยินดีการเปิดที่ทำการ พปชร.เชียงใหม่ จึงถูกโจมตีและตัดสินว่า เป็นเผด็จการ แล้วยังมีการเปิดตัว ส.ส.พปชร. ที่  กทม.และรองประธานสภา ย้ายจาก พปชร.มาเพื่อไทย รวมทั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ถูกโจมตี ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นตัวอย่างของหลักการที่ไม่แฟร์ และมีพฤติกรรมใช้ไม่ได้

นายจตุพร กล่าวต่อว่า พฤติกรรมใช้ไม่ได้ เพราะตัวเองสามารถทรยศลูกน้องตัวเองได้ เลือกทรยศใครก็ได้ แต่ใครจะมาทรยศตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองเป็นเจ้าของการทรยศเช่นกัน ซึ่งเป็นหลักการที่รับไม่ได้ แล้วมาอ้างความเป็นประชาธิปไตย ทั้งที่เพื่อไทยกระแสสูงขณะนี้ เป็นเพราะความตกต่ำของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง และวันข้างหน้าไม่ได้ราบรื่นอะไรเลย

“ถ้าไม่มีการทักกันไว้บ้าง การหลงระเริง สำคัญตนว่า เป็นเจ้าของประชาธิปไตย มท.1 ไปเชียงใหม่ก็เลี้ยงรับรอง ตั้ง อดีต รมว.ศึกษาฯ สมัย พล.อ.ประยุทธ์ เป็นที่ปรึกษาอีก ก็อ้างเป็นประชาธิปไตยอีก แล้วจะเอาอะไรอีกกับประเทศไทยที่มีตรรกะเฮงซวยแบบเพื่อไทย”

“การคิดแบบนี้ จึงทำให้ประเทศเสียโอกาสมาแล้ว 8-9 ปี เป็นการคิดระเริงกับการชนะสั้นแต่แพ้ยาว ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าคุณคิดแบบนี้อีก ก็ชนะเลือกตั้งอยู่แล้ว แต่จะพาประชาชนไปแพ้อีกนานเท่านานเหมือนครั้งนี้ (ที่ผ่านมา 8-9 ปี) นอกจากนี้ คนเสื้อแดงชุมนุมที่ถนนอักษะหายไป ผมก็รู้แต่ยังไม่ใช่เวลามาพูดกัน”

นายจตุพร ย้ำว่า ประชาชนถูกหลอกลวงซ้ำซาก รมต.ก็ถูกติดคุกมากที่สุด คนได้อำนาจก็เป็นรัฐมนตรีโท หาประโยชน์ เราต้องพิจารณาว่า ถ้าชนะแบบนี้ก็มองไม่เห็นปลายทาง อีกทั้งต้องหยุดการชูชนะเลือกตั้งพาทักษิณกลับบ้าน เพราะเคยชนะแล้วแต่ไม่ได้เอากลับมาบ้านอย่างแท้จริง แต่กลับอ้างเหตุรัฐบาลอ่อนแอ เมื่อรัฐบาลแข็งแรงก็บอกยังกลับไม่ได้ กลัวจะอ่อนแอ

“แล้วเป็นไงละ ทักษิณกลายเป็นของเล่นหาเสียง ทักษิณก็พูดซ้ำๆ จะกลับบ้านให้ได้ แล้วถ้าชนะจะเอากลับจริงหรือไม่ ยิ่งการพูดเช่นนี้จะเป็นเงื่อนไขทางการเมือง การเผชิญหน้าอีกฝ่ายหนึ่งทันทีโดยไม่จำเป็นเลย”

พร้อมระบุว่า ดังนั้น เพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง จะเป็นผู้ปกครอง แต่อยู่ในสภาพแบบนี้เอาตัวเองไม่รอดหรอก ถามจริงๆ ตอนสุดท้ายในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่งราชการใครได้สักคนหรือไม่ อีกทั้ง พ.ร.บ.สุดซอย ก็เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่ฟังใครเลย สุดท้ายทำให้ประชาชนติดคุกอีก 8 ปี แทนที่จะได้ประโยชน์ไม่ต้องติดคุกแม้วันเดียว ประชาชนจึงเสียโอกาส
“วันนี้ ประเทศอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วน ไม่สามารถให้ พล.อ.ประยุทธ์ ปกครองประเทศได้ และอีกฝ่ายหนึ่งก็ยังไม่ปรับปรุงพฤติกรรมก็ให้ขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่ปรับปรุงตัวก็จะเป็นเช่นเดิมอีก”

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประกาศก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่เพื่อไทยไม่ตอบจะจับมือกับ พล.อ.ประวิตร หรือเปล่า ทั้งที่ความจริงในใจอยากจับมือ แต่ต้องการเอาประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่ได้คิดเอาประชาชนเป็นใหญ่ ดังนั้น ถ้าเพื่อไทยไม่จับมือ พล.อ.ประวิตร ก็ต้องประกาศออกมาเป็นสัญญาประชาคมเหมือนพรรคก้าวไกล ว่า ไม่จับมือประวิตร

“ในจดหมายของ พล.อ.ประวิตร เหมือนเป็นคำประกาศสละเผด็จการ กลายมาเป็นประชาธิปไตย และก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะบ้านเมืองมีความจำเป็น ดังนั้น จุดยืนทางการเมืองของเพื่อไทยจะเอาอย่างไรกันแน่ จะเป็นเจ้าของประชาธิปไตยเบ็ดเสร็จหรืออย่างไร

ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นปลายทางชาติแล้ว อีกทั้งทรัพยากรชาติยังถูกกลุ่มทุนปล้นและไม่มีทางพรรคใดจะเอาลงได้อีก เราจึงต้องพูดความจริง เพื่อบ้านเมืองรอดอย่างแท้จริง หากคิดแบบเดิมก็หมดแล้วไม่มีสาละวันเตี้ยลงแล้ว เพราะหมดแล้ว”

“วันนี้ประเทศฉิบหายที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรเป็นนายกฯต่อ แม้แต่เพียงวันเดียว ถ้าคนที่จะมาใหม่ หากมาแบบนี้ (กอบโกยให้กลุ่มทุน) คุณจะเจอแบบประยุทธ์อีก 8 ปี (ถูกยึดอำนาจ) อย่างไม่มีทางสิ้นสุด ถ้าไม่ปรับปรุงตัว แต่ผมดูแล้วคุณไม่มีวันปรับปรุงตัว เพราะคุณเป็นเจ้าของการทรยศ เป็นเจ้าของประชาธิปไตย เป็นเจ้าของความซื่อสัตย์ เจ้าของไม่ทิ้งประชาชน” นายจตุพร กล่าว

ภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขอบคุณข้อมูล-ภาพ เฟซบุก Yingluck Shinawatra
ขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ผ่านเฟซบุก Yingluck Shinawatra อวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน ระบุว่า

“ซินเหนียนไคว่เล่อ กงสีฟาไฉ

ตรุษจีนปีนี้ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดโรคภัยไข้เจ็บ

ขอให้ปีกระต่ายนำความเปลี่ยนแปลงที่ดีมาให้

เศรษฐกิจสดใส ทำมาค้าขึ้น เงินทองไหลมาเทมา

อยากเห็นประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะเป็นพื้นฐานของความมั่งคั่ง

ขอให้ทุกท่านร่ำรวย รุ่งเรือง คิดสิ่งใดสมปรารถนาทุกประการนะคะ”

ภาพ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

“การหาเสียงที่ไร้คุณธรรม 2 รูปแบบ

การโฆษณาเพื่อหวังผลทางการเมืองนั้น มีขอบเขตควบคุมไว้ คือ จะต้องทำได้จริง และ สามารถหางบประมาณมาทตามที่โม้ไว้ได้ โดยไม่ก่อผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ

เช่น เรื่องการขึ้นค่าแรง 600 บาท แต่มีเงื่อนไขติดมาเพื่อที่จะสามารถชี้แจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ว่า จะไปขึ้นเอาอีก 3-4 ปีข้างหน้า

การพูดแบบนี้ มันส่งผลทำให้ประชาชนเกิดความหวังว่า จะได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นทันที สินค้าก็จะขึ้นราคาไปล่วงหน้า เพราะส่วนใหญ่จะมีสักกี่คนที่รู้เงื่อนไขที่พรรคการเมืองตั้งไว้ได้ แต่นักการเมืองพวกนี้ ก็จะมีการนำไปหาเสียงโดย พูดแต่ประโยคแรก ว่า “จะได้ 600 บาท” เท่านั้น ไม่ได้พูดเงื่อนไขต่อไปอีก ประชาชนก็จะจำแต่เรื่องเงิน 600 บาทเท่านั้น

หรือบางพรรคจะให้เด็กจบมหาวิทยาลัย ได้เงินเดือนสองหมื่นห้า บางพรรคก็พูดว่า จะเพิ่มเงิน 30 บาทรักษาทุกโรค ทั้งที่เขาเพิ่มกันไปหลายพัน นานแล้ว

พวกนี้แม้จะพูดกันไปเกินจริง โดยไม่ทราบว่า จะติดการหาเสียงแบบการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มาหรือเปล่า ที่หาเสียงแบบคลุมจักรวาล เป็น 200 เรื่อง แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้ครบเอาชาติไหน

เรื่องคนพวกนี้ยังพอรับได้ครับ แต่เรื่องที่ ส.ส. กทม. บางคนที่ได้เป็น ส.ส. เพราะโหนกระแสของลุงตู่มา วันนี้พอย้ายมาอยู่พรรคฝ่ายตรงข้าม ก็เปลี่ยนอุดมการณ์ไปทันที ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเคยอัด ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ เดี๋ยวนี้กลับไปเยินยอ คนที่ตัวเองเคยอัดไว้ และหันมาโจมตีพวกที่ตนเคยเป็นเพื่อนมาก่อน อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ..คนอาไร๋..

อย่าเชื่อว่า กระแสที่เกิดตอนที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะอยู่ยั้งยืนยงต่อไปได้นะครับ”

แน่นอน, ดูเหมือน “ตู่-จตุพร” พยายามจะบอกอะไรกับสังคมไทยพอสมควร โดยเฉพาะเหมือนพูดถึง “นายเก่า” ในฐานะคนที่เคยร่วมชะตากรรมทางการเมืองกันมา หรือ อย่างที่ “จตุพร” บอกว่า ตัวเองปกป้อง “ทักษิณ” จนติดคุกติดตะรางไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ซึ่งเรื่องนี้คนไทยหลายคนรู้ดีอยู่แล้ว

และที่สำคัญ “จตุพร” ชี้ให้เห็นด้วยว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ถูกกล่าวหา เป็นเผด็จการ และหลายคนรับไม่ได้ คนอย่าง “ทักษิณ” ก็มีพฤติกรรมหลายอย่างที่รับไม่ได้เช่นกัน

“...ตัวเองสามารถทรยศลูกน้องตัวเองได้ เลือกทรยศใครก็ได้ แต่ใครจะมาทรยศตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองเป็นเจ้าของการทรยศเช่นกัน ซึ่งเป็นหลักการที่รับไม่ได้ แล้วมาอ้างความเป็นประชาธิปไตย ทั้งที่เพื่อไทยกระแสสูงขณะนี้เป็นเพราะความตกต่ำของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง...”

จริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องตัดสินด้วยตัวเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น