หวังดี! “จตุพร” สาวไส้ “นายเก่าแดนไกล” ลำพองว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เตือน อย่าเอาอำนาจประชาชนมาละเลงผลประโยชน์ทับซ้อน ถึงชนะก็ต้องจบแบบเดิมๆ “แรมโบ้” ซัด “อุ๊งอิ๊ง-อดิศร” ไม่สร้างสรรค์ เอาใจ “ทักษิณ” จนเสียสติ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (16 ม.ค. 66) เฟซบุ๊ก ประชาชนคนไทย (ปท.) เผยแพร่คำกล่าวของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ที่เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน
โดย นายจตุพร กล่าวถึงอนาคตประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทยเริงร่ากับการหาเสียงที่จะครองเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนทุกครั้ง แต่ถ้าเอาแค่ชัยชนะแบบเดิมๆ แล้ว ก็จะจบแบบเดิมๆ เช่นกัน และประเทศก็จะเสียโอกาส สิ่งสำคัญในวันนี้พรรคต้องสงสารประชาชน หากพรรคเอาโอกาสที่ประชาชนมอบให้นำไปละเลงผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น ทุกครั้งไป อำนาจก็จะมีภูมิต้านทานต่ำจากการตรวจสอบขององค์กรอิสระ
“แม้ประชาชนให้โอกาส แต่การตรวจสอบทั้งหลายนั้น ถึงเพื่อไทยจะได้เสียงสูงสุด 19 ล้านเสียงก็ตาม ก็มาตายกับการตรวจสอบของคน 9 คน จากองค์กรอิสระ ทั้งศาล รธน. ทั้ง ป.ป.ช. ยังไม่นับ กกต.จะมีนโยบายต่อไปอย่างไร ดังนั้น สิ่งที่หลงระเริง หากมีความเชื่อแบบเดิมๆ คิดว่า ได้เปรียบเหลือล้น ผลสุดท้ายก็ไม่เคยเอาตัวรอดได้สักครั้งเดียว แล้วยังพาประเทศไปฉิบหาย 8-9 ปีมานี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากตัวเองด้วย”
นายจตุพร อธิบายถึงความรับผิดชอบของพรรคเพื่อไทย ว่า ถ้าไม่เปิดประตูเริ่มต้น ร่าง พ.ร.บ.การนิรโทษกรรมสุดซอยแล้ว อีกทั้งโครงการจำนำข้าว ถ้าทำกันอย่างตรงไปตรงมา การยึดอำนาจก็ไม่คงเกิดขึ้นเช่นกัน เพราะเมื่อ ป.ป.ช.เตือนมาก็ควรยุติ ซึ่งครั้งนั้นตนได้ทักทวงไว้แล้ว แต่กลับเหลิงอำนาจไปมอบประโยชน์ให้เจ้าเดียวส่งออกข้าว และยังตั้งลูกเขยเสี่ยส่งออกข้าวเป็นเลขา รมต. มันจึงพัง เพราะเอาคนที่มีพฤติกรรมเจ้าของธุรกิจส่งออกมานั่งอยู่ในกระทรวง ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นปัญหา
“การชนะเลือกตั้งของคุณ (ผู้นำจิตวิญญาณแดนไกล) ตั้งแต่ปี 2544 เรื่อยมา ได้ทำให้ประเทศเสียโอกาสขนาดไหน และครั้งนี้ก็จะชนะอีก แต่ถ้าวิธีคิดและพฤติกรรมไม่เปลี่ยน หรือไม่ทำอย่างที่เคยทำแล้ว คนน้ำหน้าอย่างประยุทธ์ไม่มีสิทธิอยู่แล้ว กระทั่งประยุทธ์สามารถสร้างความเชื่อให้ประชาชนจนพรรคการเมืองพร้อมทิ้งประชาชนมาอุ้มชูประยุทธ์ให้การคุ้มครอง ในที่สุด เพื่อไทยก็ถูกยึดอำนาจ ในวันยึดอำนาจนั้น ถนนอักษะ (บริเวณ นปช.ชุมนุม) เหลือไม่ถึง 100 คน เพราะมีคนไปปิดก๊อก และผมรู้ว่า วันยึดอำนาจใครไปอยู่ด้วย”
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญคือ จิตใจที่เห็นประโยชน์เฉพาะหน้า ได้นำพาให้บ้านเมืองเป็นแบบปัจจุบันนี้ ยิ่งในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อด้วยแล้ว บ้านเมืองจึงไม่เหลืออะไร เพราะพรรคได้แบกเอาความหวังความรู้สึกของประชาชนไปละเลงทุกครั้ง
สิ่งสำคัญ ระบุว่า ถ้าคุณ (ผู้นำทางจิตวิญญาณเพื่อไทย) เป็นคนใช้ได้ น้ำหน้าอย่างประยุทธ์ ไม่มีสิทธิสะเออะมาเป็นนายกฯ ได้เกือบ 9 ปี พวกนี้จะมายึดอำนาจได้อย่างไร เนื่องจากมีเหตุว่า พอวันที่ได้อำนาจมาจากประชาชน แล้วก็คิดว่าอำนาจประชาชนเป็นของตาย ก็ไปชะเง้อมองประยุทธ์จะให้การคุ้มครอง ดูสิเปลี่ยนผู้คุ้มครองใหม่จากประชาชนมาเป็นประยุทธ์ จึงถูกประยุทธ์ปราบจนเหี้ยนไปเลย
“ทุกวันนี้ (เขา) ยังคิดว่า เป็นคนถูก ยังคิดว่า ตัวเองใหญ่ ใครอยากเข้าพรรคต้องไปขอโทษ ผมอยากจะบอกสักคำว่า ในโลกการเมืองไม่มีใครใหญ่จริงหรอก สิ่งสำคัญที่จะบอก คือ คุณชนะ (เลือกตั้ง) อยู่แล้ว ถ้าทำตัวเหมือนเดิมก็จะจบแบบเดิมอีก
ส่วนชนะแล้วเป็นผู้ปกครองหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าเป็นผู้ปกครองทำนิสัยแบบเดิมก็จะจบแบบเดิม และคนที่หนักที่สุดจากต้นเหตุของคุณก็คือประชาชน คุณเอาชีวิตเลือดเนื้อประชาชนไปละเลงเล่นได้อย่างไร เอาชัยชนะที่แลกมาทั้งชีวิต แต่ท้ายที่สุดใครก็ไม่รู้หน้านวลทั้งหลายก็มากอบโกยเอา แล้วไม่รักษาประชาธิปไตยเอาไว้ได้ วันนี้ก็มาอีหรอบเดิม”
นายจตุพร ประกาศว่า ตนไม่ได้ท้า หากจะมองเป็นศัตรูก็เรียงหน้ากันมาให้เป็นเรื่องเป็นราวกันเลย ที่มาเตือนสติแรงๆ นั้น จะบอกว่า บ้านเมืองฉิบหายวายวอดรอบนี้ ถ้าปกครองแบบเดิมๆ ให้ รมต.ทำงานแค่เซ็นหนังสือ แล้วให้คนนอกกระทรวงที่ใหญ่กว่าไปจัดการ มันจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้ เพราะจะเข้าอีหรอบเดิมอีก
“ประยุทธ์ทำฉิบหายมา 8 ปี แต่ที่จะทำฉิบหายอีกรอบต่อไปนี้ เราก็ต้องเตือนสติอย่างแรง เพราะไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องอะไร แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า ประเทศนี้เป็นของทุกคน ที่สำคัญที่สุดจะชี้ว่า อย่าเหลิง อย่าลำพองให้มาก คุณใหญ่กว่านี้เขาก็ล้มอย่างไม่เป็นท่า และโดนมาไม่รู้กี่ครั้ง ก็เพราะความเหลิง ความไม่เข้าท่าแบบนี้ ดังนั้น จึงไม่มีอะไรใหญ่ไปกว่าประชาชน แต่เมื่อได้อำนาจจากประชาชนกลับเล็กที่สุดทุกครั้งกันไป อย่างนี้มันจะไหวหรือ”
พร้อมกล่าวว่า ตอนถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 คนมาพรรคไม่ถึง 19 คน เพื่อสู้กับรัฐประหาร หรือตอนยุบพรรค บริเวณลานหน้าพรรคมีคนไม่ล้นหลามเลย ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การรักษาหัวใจประชาชน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ ประเทศไทยต้องมาก่อน ซึ่งรอบนี้จะพินาศมากกว่าเดิม และอาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น.
ขณะเดียวกัน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้อีสาน” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ปราศรัยที่จังหวัดอุดรธานี ที่ประกาศอยากเห็นนายโทนี่กลับมาเลี้ยงหลาน และแนะนำชาวบ้าน รับเงินหมา กาเพื่อไทย รวมทั้ง นายอดิศร เพียงเกษ แช่งนายกฯตกเครื่องบินตาย ข้ามถนนก็ขอให้แท็กซี่ชนว่า
ไม่น่าเชื่อว่า คนอย่าง นายอดิศร ที่เป็นถึง ส.ส.มาหลายสมัย เป็นถึงอดีตรัฐมนตรี จะมีนิสัยแย่ ปากเสีย ไม่มีสัมมาคารวะเช่นนี้ เล่นการเมืองไม่สร้างสรรค์ และไม่น่าเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะให้คนประเภทนี้ไว้ในพรรค และยังให้ออกมาปราศรัยให้คนฟังอีก หรือว่าพรรคเพื่อไทยชอบคนแบบนี้
นายเสกสกล กล่าวต่อว่า การที่ นายอดิศร ออกมาพูดถึงคนอื่นได้เช่นนี้ น่าจะเป็นเพราะอยากเอาใจนายใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศมากเกินไปจนเสียสติไปแล้ว และมองว่า หากแกนนำพรรคมีพฤติกรรม ใช้คำพูดเช่นนี้ ขอให้ระวังประชาชนจะมองว่าพรรคการเมืองนี้มีแต่คนถ่อยๆ เลือกตั้งครั้งหน้าก็คงไม่กล้าที่จะเลือกเข้ามาทำงานให้อย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับ นางสาวแพทองธาร ที่ออกประกาศลั่นอยากเห็นนายโทนี่กลับมาเลี้ยงหลาน ทั้งยังยุชาวบ้าน รับเงินหมา กาเพื่อไทย นั้น ตนเองมองว่า เป็นการพูดหยาบคายเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ หากไม่มีหลักฐานก็ไม่ต้องออกมาปราศรัยพูดลักษณะว่ามีพรรคการเมืองใดไปแจกเงินให้ประชาชน และยังเอาดีใส่พรรคตัวเอง
“และไม่ควรออกมาประกาศว่าอยากเห็นนายโทนี่กลับมาเลี้ยงหลาน เพราะเป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า ที่นางสาวแพทองธาร อยากชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ จะได้เป็นรัฐบาลเพื่อเอานายโทนี่กลับประเทศ ซึ่งตนเองยืนยันว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน
หากนายโทนี่อยากกลับประเทศ สามารถกลับได้ตลอดเวลา ไม่มีใครห้าม แต่ต้องมารับโทษตามกฎหมายไม่ใช่รอมาให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลก่อน ทั้งนี้ กระแสคนไทยรวมถึงคนอีสานไม่มีวันยอมให้คนขี้โกงเข้ามามีอำนาจ หรือมาโกงกินบ้านเมืองอีก” นายเสกสกล กล่าว
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ กรณี “จตุพร” ในฐานะคนที่รู้ไส้รู้พุงกันดี ออกมาเตือน “นายเก่า” ถึงการได้มาซึ่งอำนาจ และสูญเสียอำนาจ ก็เพราะตัวเองมีส่วนทำให้ถูกยึดอำนาจด้วย โดยเฉพาะเมื่อได้อำนาจจากประชาชน (ชนะเลือกตั้ง) แล้วก็เห็น “อำนาจประชาชนเป็นของตาย” เอามาละเลงผลประโยชน์ทับซ้อน สุดท้ายก็จะต้องพบจุดจบเหมือนเดิม
นี่ถือว่า เป็น “คำเตือน” ที่หลายคนเห็นด้วยที่สุด และเห็นภาพชัดที่สุด เพราะถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สร้างเงื่อนไขรัฐประหาร ก็ไม่มีทางที่การรัฐประหารจะเกิดขึ้นได้ อีกทั้งถ้ารัฐบาลไม่โกง ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน จนประชาชนทนไม่ได้ ก็ไม่มีทาง ที่จะมีการประท้วงขับไล่
นั่นหมายถึงโอกาสที่จะสร้าง “ประชาธิปไตย” ที่สมบูรณ์ จะมีอย่างเหลือเฟือ โอกาสที่จะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า พัฒนาเศรษฐกิจ และอีกมากมาย ก็เช่นกัน
คำถามก็คือ “พรรคการเมือง” บางพรรคที่มีโอกาสชนะเลือกตั้งครั้งหน้าสูง จะมีวิธีคิดแบบเดิม ทำแบบเดิม อย่างที่ “จตุพร” เป็นห่วงหรือไม่ ถ้าคิดและทำแบบเดิม ก็จบแบบเดิมอย่างที่ “จตุพร” ว่า เท่านั้นเอง