สภาล่มต้อนรับปีใหม่ โหวตร่าง กม.กัญชาฯ ยืดเยื้อไปได้ถึงแค่ ม.10/1 ขณะที่ฝ่ายค้านรุมอัด อ้างมีผลประโยชน์ทับซ้อน ใส่ตำแหน่งประธานสภาเกษตรกรฯ ร่วมเป็น คกก.กัญชากัญชง ด้าน “ปานเทพ” ยันเพื่อประโยชน์คนไทย
วันนี้ (4 ม.ค.) ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง พ.ศ... วาระสอง โดยมีการลงมติในมาตรา 7/4 ที่ค้างจากการประชุมสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ประชุมได้ลงมติในมาตราดังกล่าว ซึ่งกรรมาธิการได้เพิ่มขึ้นใหม่ อย่างไรก็ดี พบว่า ในช่วงต้นได้ใช้เวลารอองค์ประชุม กว่า 15 นาที ก่อนที่จะมี ส.ส.แสดงตน ซึ่งเกินองค์ประชุม 218 เสียง ไปเพียง 6 เสียงเท่านั้น ก่อนที่จะโหวตเห็นชอบมาตราดังกล่าว
ส่วนการพิจารณาในมาตรา 8 ว่าด้วยคณะกรรมการกัญชา กัญชง ซึ่ง กมธ. แก้ไข และเพิ่มจำนวน 25 คน โดยสมาชิกได้อภิปรายท้วงติงที่มีการเพิ่มตำแหน่งประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ร่วมเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง อาทิ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามว่า กรณีเพิ่มตำแหน่งดังกล่าวส่อมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เนื่องจาก นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ กมธ.และที่ปรึกษา ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติด้วย คล้ายกับว่า นายประพัฒน์ เข้ามาเพื่อเขียนกฎหมายให้ตนเอง ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งนี้ ในกลุ่มเกษตรแห่งชาติ และ กลุ่มสหกรณ์ มีสมาชิก 14 ล้านครัวเรือน ตนสงสัยว่า ให้ตำแหน่งนายประพัฒน์ทำไม พร้อมขอให้ กมธ.ชี้แจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประเด็นที่ นายพิเชษฐ์ ตั้งถามนั้นไม่พบการชี้แจงของ กมธ. ก่อนที่ประชุมจะลงมติข้างมากเห็นด้วยกับการแก้ไขของ กมธ. จากนั้นได้เข้าสู่มาตราต่อไป
ส่วนมาตรา 8/1 ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในกรรมการกัญชา กัญชง ที่มาตรา 8 กำหนดให้มี 7 คน ซึ่งให้อำนาจรัฐมมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้ง จาก ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ 7 ด้านๆ ละ1 คน คือ ด้านกฎหมาย, ด้านเกษตรกรและพันธุ์พืช, ด้านการตลาด, ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค, ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น, ด้านวิจัยและพัฒนา และ ด้านสมุนไพร ทั้งนี้ กำหนดให้กรรมการดังกล่าวมาจากภาคเอกชนไม่น้อยกว่า 3 คน มี ส.ส.ตั้งข้อสังเกตการกำหนดคุณสมบัติที่อาจเปิดช่องให้เเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน จากนักธุรกิจด้านกัญชา
ทั้งนี้ นายพิเชษฐ์ ย้ำว่า การเขียนเนื้อหาดังกล่าวเหมือนกับตามใจพวกพ้อง นักลงทุน และกฎหมายมีช่องโหว่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเป็นการผลักดันร่างกฎหมายเพื่อตนเอง โดยเฉพาะนายประพัฒน์ ที่เป็นผู้ปลูกกัญชารายใหญ่ มีตำแหน่งใหญ่ในสภาเกษตรกร และนั่งเป็น กมธ.เพื่อนำตำแหน่งของตนเองไปเป็นกรรมการ
นอกจากนั้น มี ส.ส.เสนอแนะให้เพิ่มบทบัญญัติ ลักษณะต้องห้ามของกรรมการ คือ ห้ามเป็นผู้ประกอบการ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือผู้มี่วนได้เสียในกิจการที่เกี่ยวกับกัญชา กัญชง หรือสารสกัดในลักษระเพื่อการค้า หรืออุตสาหกรมไม่ว่าททางตรงหรือทางอ้อม เพื่อป้องกันกลุ่มทุน นักธุรกิจเข้ามาร่วมเป็นกรรมการฯ หวังสกัดผลประโยชน์ทับซ้อน
ทั้งนี้ นายปานเทพ พังพงษ์พันธ์ กมธ. ชี้แจง โดยยอมรับว่า ใน กมธ. ล้วนมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีผลประโยชน์ทางตรง และทางอ้อม เพื่อให้เป็นตัวแทนของคนทุกฝ่าย ให้ความเห็นจากคนหลากหลายเพื่อลงมติ โดยยึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ขณะที่การกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามนั้น ไม่สามารถบัญญัติลักษณะต้องห้ามที่เสนอได้ เนื่องจากทำไม่ได้จริง และในช่วงแรกของการปลดล็อคกัญชาจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ
“หลายคนใน กมธ. ตามธรรมชาติมีผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น แพทย์ ต้องลดยาบางอย่างที่เกี่ยวกับกัญชาเพื่อให้ประชาชนมีกัญชาใช้มากขึ้น” นายปานเทพ ชี้แจง
ขณะที่ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ฐานะประธาน กมธ. ชี้แจงว่า การกำหนดตำแหน่งในร่างกฎหมาย ไม่ได้ระบุชื่อหรือตัวบุคคล ดังนั้น บุคคลเมื่อเป็นแล้วต้องพ้นไป ผู้จะดำรงตำแหน่งต่อจะมาเป็นกรรมการต่อ ข้อเท็จจริงที่บอกว่า ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ฉบับเดิมนั้นดี คือ ร่างของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และคณะที่เสนอ แต่การพิจาราของ กมธ. ได้ตัดและเพิ่มใหม่ ตนต้องยอมรับในมติในเสียงส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี กมธ.ไม่ยินยอมให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่คำที่อธิบายได้คือ ผู้ที่จะเข้ามาเป็นกรรมการ ต้องมีประสบการณ์ความรู้ด้านกัญชา ซึ่งจะเกี่ยวกับกัญชาไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
จากนั้นการพิจารณาในมาตราอื่นๆ ยังคงขลุกขลักอยู่เป็นระยะๆ โดยเฉพาะมาตราที่ 10/1 เรื่อง อำนาจหน้าที่คณะกรรมการกัญชา กัญชง นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ต้องกดออดเรียกสมาชิกมาแสดงตนนานกว่า 15 นาที จึงมีสมาชิกครบองค์ประชุมแบบฉิวเฉียดเกินองค์ประชุมมาแค่ 2 คน
ขณะที่การโหวตมาตรา 11 ที่ กมธ.เสนอให้ตัดข้อความทิ้งทั้งมาตรา ก็ยังเกิดปัญหาเสียเวลารอสมาชิกเนิ่นนาน จนกระทั่งส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนทักท้วงขอให้ปิดประชุม เพราะสมาชิกอยู่กันไม่ครบ โดย นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย เสนอให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวออกไปก่อน อย่ามาถ่วงเวลาแบบนี้ เพราะความไม่พร้อมสูงมาก เสียเวลาที่ต้องรอ ดูแล้วยังไงกฎหมายก็ไม่ผ่าน ถ้าจะผ่าน องค์ประชุมคงครบไปนานแล้ว แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นกับการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้มาเป็นเดือนแล้ว ควรให้ถอนไปก่อน แต่นายศุภชัยก็ยังคงกดสัญญาณเรียกสมาชิกเป็นระยะ โดยระบุว่า ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เคยรอสมาชิกครบองค์ประชุมนาน 53 นาที มาแล้ว ขอความร่วมมือกันให้อดทนกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จนกระทั่งผ่านไป 35 นาที มีสมาชิกมาครบองค์ประชุม แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลาเสียบบัตรลงมติมาตราดังกล่าว กลับมีสมาชิกเสียบบัตรลงคะแนนแค่ 204 คน ทำให้ไม่ครบองค์ประชุม นายศุภชัย จึงสั่งปิดประชุมเวลา 15.05 น. ถึงเป็นเหตุการณ์องค์ประชุมล่มรับปีใหม่ 2566 ที่เปิดประชุมนัดแรกก็สภาล่มทันที