xs
xsm
sm
md
lg

เริ่มชัดรัฐบาลหน้า พรรคร่วมเดิมมีลุ้น!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - อนุทิน ชาญวีรกูล - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เมืองไทย 360 องศา

ก็ต้องยกให้การเอาคืนถล่มย้อนศรแบบ “กัดไม่ปล่อย” ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.เข้าใส่ “เจ้าของคอก” อย่าง “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร อย่างเจ็บแสบ เรียกว่า “เข้าทุกดอก” และ “จริงทุกเม็ด” ทำให้ไม่มีใครกล้าเถียง เพราะ “เถียงไม่ออก” ยิ่งเถียงก็จะโดนอีกไม่ใช่น้อย และเชื่อว่า นายจตุพร ยังกำความลับอีกมากมาย พร้อมปล่อยออกมาอีกเรื่อยๆ

ต้องไม่ลืมว่าในช่วงการรับใช้นายทักษิณ ของพวกเขา (คนเสื้อแดง) มานานนับสิบปี และเกิดเหตุการณ์ในบ้านเมืองมากมาย ดังนั้น เชื่อว่า ยังมี “ทีเด็ด” ที่ยังรอแฉออกมาอีก

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากข้อมูลและปฏิกิริยาออกมาจากสังคม รวมไปถึงปฏิกิริยาจากคนเสื้อแดง ที่เวลานี้แตกออกมาเป็นหลายฝ่าย หลายกลุ่ม ย่อมส่งผลกระทบรุนแรงไม่น้อย โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงเครดิตของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เชื่อมโยงถึงกัน และที่สำคัญก็คือ มีผลกระทบต่อเป้าหมาย “แลนด์สไลด์” ของพรรคเพื่อไทยเข้าอย่างจัง

เพราะสิ่งที่สังเกตได้ ก็คือ ท่าทีของพรรคเพื่อไทย และจากนายทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งคนในครอบครัว ต่างแสดงออกชัดเจนว่า “ไม่ตอบโต้” นายจตุพร แม้ว่าจะมีการออกมา “ด้อยค่า” บ้างในแบบเทียบเทียงกับ “สุนัขเห่า” หรือ “สุนัขฉี่รดภูเขาทอง” อะไรบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ได้มีประเด็นชี้แจงแก้ต่าง ซึ่งหลายคคนประเมินว่า เกรงว่า ยิ่งตอบโต้ก็จะยิ่งมีการสาวไส้ออกมามาขึ้นกว่าเดิม จะเกิดความเสียหายจนควบคุมยาก

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากคำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่พรั่งพรูออกมาอย่างดุเดือดเป้าหมายก็พุ่งไปถึง “หัวหน้าหมา” ที่ไม่มีความซื่อสัตย์ ทำลายคนเสื้อแดง ที่หมายถึง นายทักษิณ ชินวัตร ถือว่ารุนแรง ซึ่งรับรองว่าเส้นทางจะย้อนกลับมาเหมือนเดิมยากแล้ว มีแต่เดินหน้าแยกเป็นเส้นขนานกว้างออกไปเรื่อยๆ เท่านั้น

อีกทั้งเมื่อย้อนกลับมามองถึงสถานการณ์เฉพาะหน้าที่กำลังเกิดขึ้น นั่นคือ การเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถือว่าเป็นจังหวะที่เชื่อว่าคนพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครแฮปปี้แน่นอน เพราะมันกระทบกับ “กระแส” ของพรรคที่กำลังปลุกเร้ากันมาต่อเนื่องหลายเดือน

อย่างที่รับรู้กันว่า พรรคเพื่อไทย มีมวลชนคนเสื้อแดงเป็นฐานเสียงหลักมาช้านาน และเป็นมวลชนที่ค่อนข้างเป็นเอกภาพ แม้ว่าจะเริ่มถูกแบ่งแยกมาตั้งแต่ปี 2562 ที่เป็นการเลือกตั้งในยุค “สาม ป.” ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ มีแกนนำเสื้อแดงหลายคนที่ถูกดึงเข้ามาร่วมกิจกรรมพรรค ที่เห็นก็มี “แรมโบ้” นายเสกสกล อัตถาวงศ์ เป็นต้น และต่อมาก็เริ่มเห็นการแยกตัวออกมาของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ขึ้นเวทีเปิดโปง “เจ๊ ด.” คนในครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร ระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ที่อยู่คนละขั้วกับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย เมื่อเดือนธันวาคมปี 64 ตอนนั้นถือว่าได้เห็นภาพความขัดแย้งชัดเจน จนกระทั่งล่าสุดที่แบบ “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ”

ดังนั้น เมื่อโฟกัสไปที่พรรคเพื่อไทย ที่เริ่มมองเห็นถึงผลกระทบกับเป้าหมายแลนด์สไลด์ มันก็ทำให้หลายคนฟันธงว่าไม่มีทางที่จะได้ ส.ส.เกิน 251 ที่นั่ง จากเหตุปัจจัยดังกล่าว ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งในเรื่อง “คู่แข่ง” ที่เข้มแข็งมากขึ้น และมีหลายพรรค ไม่ว่าจะเป็นภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ที่แม้ว่าจะแตกตัวออกไป แต่ก็มีหลายจังหวัดในภาคอีสานที่ยังมี “บ้านใหญ่” ยังปักหลักอยู่

รวมไปถึงพรรคน้องใหม่อย่าง “รวมไทยสร้างชาติ” ที่มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นสมาชิกพรรคคนสำคัญ เป็นตัวชูโรง และกำลังสร้างกระแส “นายกฯ ลูกอีสาน” ซึ่งเชื่อว่าจะกลายเป็นคู่ต่อกรที่ต้องจับตา

ขณะเดียวกัน ที่มองข้ามไปไม่ได้ ก็คือ พรรคที่กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทย ก็คือ “พรรคก้าวไกล” ต้องไม่ลืมว่า ทั้งสองพรรคนี้มีฐานเสียงเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันมากที่สุด จะเรียกว่า “ทับซ้อน” กันก็ได้ ซึ่งหากมองเริ่มจากพรรคก้าวไกล ที่มองว่า ฐานเสียงหลักมาจาก “คนรุ่นใหม่” และคนเสื้อแดงที่เคยเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยมาก่อนนั่นเอง และแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมองว่าคนเสื้อแดงเทมาทางพรรคเพื่อไทยเกือบทั้งหมด แต่มาวันนี้บรรยากาศแบบนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

และที่สำคัญ มองข้ามไปไม่ได้ก็คือเวลานี้ “กระแส” ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ตลอดเวลาพยายามทำตัวเป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” เหมือนกับอดีตผู้นำของบางประเทศที่ลี้ภัยอยู่ข้างนอก แต่สำหรับเขาหากมองในรายละเอียดมันย่อมต่างกัน เพราะเขามีคดีทุจริตติดตัว ครอบครัวมีแต่เรื่องอื้อฉาว และล่าสุด เมื่อถูกแฉความจริงเชิงประจักษ์ที่เหมือนกับการที่คนในสังคมอีกกลุ่มหนึ่งเคยรู้เห็นมาแล้ว แต่เมื่อมีการพูดออกมาจากคนใกล้ชิดที่เคยต่อสู้ถวายชีวิตเพื่อให้ได้กลับมามีอำนาจอีกรอบ แต่เมื่อถูกยืนยันว่า “ถูกหักหลัง” พร้อมกับเปิดโปงธาตุแท้ออกมาหมดเปลือก มันก็ย่อมทำให้หลายคนต้องสะดุดกึก ส่งผลกระทบกับความพยายามโหมกระแสเข้าอย่างจัง

เมื่อแนวโน้มดังที่เห็น นั่นคือ เป้าหมายตั้งรัฐบาลพรรคเพียงพรรคเดียวเป็นไปได้ยาก เพราะแม้ว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ได้ ส.ส.เกิน 251 เสียง แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็ต้องใช้เสียงถึง 376 เสียง ซึ่งก็ต้องพึ่งพาส.ว.มาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีด้วย

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ลำพังแค่ได้เสียง ส.ส.เกิน 251 เสียง ที่ตามรูปการณ์แล้วเป็นได้แค่ฝัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็น่าจะพอรู้ดี เนื่องจากระยะหลังจะได้เห็นนายทักษิณ ชินวัตร ออกมาพูดถึงการจับมือกับ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ตามความเข้าใจของตัวเอง มีการพูดถึง พรรคก้าวไกล และพรรคร่วมฝ่ายค้านในการตั้งรัฐบาล

แต่ก็อีกนั่นแหละ “ปากพาซวย” ไม่เคยเปลี่ยน เมื่อกล่าวถึงพรรคก้าวไกลในลักษณะ “ด้อยค่า” เขาอีก ทำนองว่า เลือกก้าวไกล ก็เหมือนกับพวกที่ชอบเสี่ยง ชอบผจญภัยโลดโผนอะไรประมาณนี้ จนถูกตอบโต้โวยวายกลับมาอีก

เมื่อเป็นแบบนี้แล้วทำให้เชื่อว่าเสียงน่าจะออกมาแบบ “กระจาย” แม้ว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะชนะมากที่สุด แต่ก็ไม่มีเสียงพอ แม้ว่าจะรวมกับฝ่ายค้านในปัจจุบันก็ตาม ขณะที่อีกฝ่ายที่มีพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบันที่มีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลผสมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าพรรคไหนที่จะได้เสียงมากที่สุด หรือรองลงมาแบบสูสี นั่นคือ ภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ และ ประชาธิปัตย์ ก็ยังเป็นไปได้สูงกว่า และสูตรนี้ก็ยังเป็น “สอง ป.” อยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะ ป. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ยังไงก็น่าจะได้เป็นรัฐบาลแน่ ขณะที่ ป.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลุ้นหนัก เพราะมีให้เล่น “หน้าเดียว” นั่นคือ ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี เท่านั้น !!


กำลังโหลดความคิดเห็น