เมืองไทย 360 องศา
ถือว่ายังก้าวข้ามไม่พ้นเลยจริงๆ แม้ว่าจะผ่านมาสี่ห้าวัน หรือลากยาวมาเป็นสัปดาห์แล้ว สำหรับเรื่องราวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เขายอมรับเองว่า มีหลายชื่อ ทั้งชื่อเล่นดั้งเดิมว่า “แม้ว” มาจนถึง “โทนี่ วู้ดซัม” ขณะหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศเวลานี้ ขณะเดียวกัน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าสำหรับเขาแล้ว “เสียรังวัด” เสียหายป่นปี้เลยจริงๆ จากการออกมาเปิดโปงของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.หรือ คนเสื้อแดง ซึ่งในทางการเมืองถือว่า “โดนเต็มๆ เข้าไปทุกดอก”
ที่ผ่านมา เป็นความจริงโดยเฉพาะฝ่ายตรงข้าม หรือคนที่ติดตามการเมืองมาอย่างรู้ทัน เคยรับรู้ข้อมูลแบบนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่ข้อกล่าวหาในเรื่อง “นักประชาธิปไตย” ที่ถูกย้ำว่า เป็น “นักประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่ นายจตุพร ระบุว่า เขาแค่เป็นนักธุรกิจที่หวังเพียงแค่กำไรขาดทุนเท่านั้น เป็นจอมโกหกหลอกลวง โดยเฉพาะกับมวลชนคนเสื้อแดง ที่อยากใช้ประโยชน์ก็ปลุกขึ้นมา หากไม่เห็นประโยชน์ก็ทิ้งขว้างไม่ไยดี
คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากปากของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. แบบเรียกว่า “ประจาน” หรือว่า “สาวไส้” นายทักษิณ ชินวัตร ออกมาให้เห็นว่ามีกี่ขดกันแน่ เรียกว่า เป็นคำพูดกล่าวหาแบบรุนแรงที่สุด ไม่ไว้หน้ากันเลย ประเภทต่อไปนี้ สำหรับนายจตุพร ถือว่า “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กันอีกแล้ว
แต่ที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่าการออกมาแฉโพย เปิดโปง นายทักษิณ ชินวัตร รุนแรงสักปานใดก็ตาม ทุกอย่างกลับเงียบฉี่ พรรคเพื่อไทย มีการแถลงผ่านทาง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาฯ นปช. อดีตคู่หูบนเวทีม็อบคนเสื้อแดงมาตั้งแต่ปี 52 ปี 53 ย้ำว่า จะไม่ตอบโต้ ขอจบเพียงแค่นั้น เฉไฉแบบถามม้า ตอบช้าง ไปเรื่อยเปื่อย
ขณะที่ นายทักษิณ ชินวัตร ที่โดนเข้าไปเต็มๆ แม้จะรับรู้กันว่า “พูดไม่เก่ง” เรื่องวาทะคงสู้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ได้อยู่แล้ว แต่การพูดในคลับเฮาส์ ในกลุ่มสนับสนุนตัวเอง ก็พูดจาเฉไฉไม่ได้ต่างกัน เช่น มีการพูดว่า “ตัวเองถูกเห่ามานานสิบหกปีแล้ว จะถูกเห่าอีกสักตัวสองตัว จะเป็นไรไป” ความหมายก็คือ “ไม่ให้ราคา” แต่ไม่ยอมชี้แจงตอบโต้ข้อกล่าวหา
**แต่การพูดกลับมาแบบนั้น มันก็เหมือนกับการ “แหย่รังแตน” ทำให้ไม่จบอย่างที่คิด เพราะเจอกับการตอบโต้อย่างเดือดจาก “ลูกน้องเก่า” กลับไปอีกชุดแบบทำให้หมดราคา เพราะ จตุพร เปรียบเทียบกลับไปว่า “ทักษิณก็เหมือนหมา” แต่อาจมีระดับหน่อยตรงที่อาจเป็น “หัวหน้าหมา” พร้อมกับแดกดันอย่างเจ็บแสบในทำนองว่า คุณทักษิณ อาจเป็นไม่ได้ก็ได้ เพราะหมามีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ “ความซื่อสัตย์”
ก็ยังแปลกอีกว่า เมื่อถึงขั้นเปรียบเทียบกันถึงขั้น “ทักษิณเป็นหมา” แต่คนในพรรคเพื่อไทย กลับยังเงียบกริบ เจอเข้าไปสองสามดอกแล้วยังเฉย เพราะที่ผ่านมา เพียงแค่ใครเฉียดไกลๆ ไม่ว่าจะเป็นนายทักษิณ หรือคนในครอบครัวนี้ ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือใครก็ตาม ก็จะดาหน้าออกมาตอบโต้ ทั้งในและนอกสภา อย่างแข็งขัน
เพราะมาจนถึงวันนี้กับ นายจตุพร ก็ยังเงียบกริบ มองอีกมุมหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่กล้าตอบโต้ เพราะกลัวว่าจะถูกลากไส้ หนักกว่าเดิม จนอยู่กันไม่ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านมา ตั้งแต่การชุมนุมคนเสื้อแดงมาจนถึงการเป็นรัฐบาลตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาจนถึงพรรคพลังประชาชน หรือมาถึงพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ย่อมต้องรับรู้เรื่องราวภายในด้านลึกได้อย่างดี เหมือนกับการเปิดโปงเรื่องการ “ทรยศหักหลัง” นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี นั่นแหละ
หรืออาจเป็นเพราะคำเตือนที่ว่า หากใครคิดจะออกมาตอบโต้ ก็ขอให้คิดช้าๆ คิดให้ดีก่อน ทำให้ไม่มีใครกล้าเสี่ยง โดยเฉพาะเชื่อว่าต้องเป็นการเบรกมาจากนายทักษิณ ชินวัตร หรือเปล่า เพราะเชื่อว่าได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณากันในภาพรวมทางการเมือง หลังจากที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมาเปิดโปง นายทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้หลายฝ่ายต้องติดตาม มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในวงกว้าง และแน่นอนว่า ย่อมมีผลกระทบกับพรรคเพื่อไทยที่กำลังโหม “แคมเปญแลนด์สไลด์” ทั่วแผ่นดินอยู่ในเวลานี้ อาจต้อง “สะดุด” กึกลงก็เป็นไปได้สูง
เพราะจากคำพูดที่ว่านั้น ทำให้รับรู้ทันทีว่า เวลานี้มวลชนคนเสื้อแดง หรือมวลชนที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัว แตกกันย่อยยับแล้วจริงๆ ที่สำคัญ ไม่สามารถสั่งซ้ายหัน ขวาหัน ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว แม้ว่าในความเป็นจริงก็ได้เห็นภาพแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว แต่เมื่อเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นมา มันก็ยิ่งเป็นการดึงสติให้กลับมาเห็นชัดๆ ไม่อาจสร้างกระแส “หลงไหลแบบอุปทานหมู่” ได้อีกต่อไป
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันย่อมส่งผลในทางลบต่อ นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งจากมวลชนคนที่เคยสนับสนุนที่ได้รับรู้ความเป็นจริง และคนภายนอกที่ยังลังเล เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แบบมองแบบกลางๆ ก็ได้เห็นภาพและตัดสินใจได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ก็ยังมีบรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทย หลายคนที่ “ไหลออก” ทั้งที่เป็น ส.ส.ภาคอีสาน ส.ส.ในกรุงเทพมมหานคร แม้ว่าสำหรับคอการเมืองย่อมรับรู้กันมานานแล้วว่า พวกเขาย้ายพรรคแน่นอน แต่ในแง่ของความรู้สึก มันก็ทำให้เห็นว่ามีคนอยากออกไม่น้อยเหมือนกัน
ความรู้สึกและความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ถึงได้บอกว่ามันมีผลสะเทือนกับพรรคเพื่อไทยเข้าไปเต็มๆ อย่างน้อยก็ต้องกระทบต่อกระแสการสร้าง “แลนด์สไลด์” ทำให้เกิดขึ้นได้ยาก เพราะย่อมถูกถามเรื่องที่ถูกตอกย้ำทั้งในเรื่อง “ประชาธิปไตยจอมปลอม” การหลอกใช้คนเสื้อแดง ที่อาจทำให้หลายคนฉุกคิดขึ้นมา หรือแม้แต่ข้อมูลใหม่ถูกกล่าวหาว่า “อำมหิต” หลอกคนอื่นให้ไปติดคุก เป็นต้น เป็นคำถามที่ไม่อยากตอบ หรือไม่กล้าตอบ
อีกทั้งเมื่อมองดูคู่แข่งในเวลานี้ที่ถือว่ามีความหลากหลาย มีการพัฒนาขึ้นมาจนเข้มแข็งขึ้นมาหลายพรรค อย่างน้อยก็เป็นการขัดขวางเป้าหมายทางการเมืองอย่างได้ผล และที่สำคัญ คำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ซ้ำในจุดสำคัญ เป้าหมายตรงไปที่ นายทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะในเรื่อง “การนิรโทษกรรมเพื่อกลับบ้านแบบไม่มีความผิด” มันย่อมโดนเข้าเต็มๆ และเชื่อว่าทำให้การกลับบ้านแบบที่ฝันเอาไว้แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะดักทาง สร้างความรู้สึกร่วมเอาไว้หมดแล้ว เรียกว่า “ขยับเป็นโดน” ก็แล้วกัน
ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว ก็ต้องยอมรับความจริงว่า มันมีผลกระทบทางลบกับ นายทักษิณ ชินวัตร กับ พรรคเพื่อไทยเข้าอย่างจัง อย่างน้อยก็น่าจะเกิดความรู้สึกร่วมขึ้นมาไม่น้อย และที่สำคัญ ทำให้เป้าหมาย “แลนด์สไลด์” อาจสะดุดลงก็เป็นได้ เพราะหลายอย่างเริ่มไม่เป็นใจชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ !!