เมืองไทย 360 องศา
อาจเป็นเพราะเป้าหมาย “แลนด์สไลด์” ที่เดินมาถึงตอนนี้เริ่มมองเห็นชัดเจนแล้วว่าผิดเพี้ยนจนแทบเป็นไปไม่ได้เลย จนกระทั่งล่าสุด ถึงกับมีข่าวว่าจะมีการเปลี่ยน “ตัวเชิดใหม่” จากเดิมที่เคยล็อก “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลูกสาวคนเล็ก วางตัวให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย แต่ยิ่งนานวันกลับยังไม่เปรี้ยงปร้างดังคาด จึงคิดจะเปลี่ยนเป็น “หญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาณ ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาขึ้นมาแทน แม้ว่าน่าจะเป็นแค่รายงานข่าวเพื่อ “หยั่งกระแส” ก็ตาม
ประกอบกับเมื่อไปสำรวจตามต่างจังหวัดในภาคอีสาน จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็น “ของตาย” ทางการเมือง กลับพบความจริงที่ว่าบรรดามวลชนที่เคยเป็น “คนเสื้อแดง” ที่เคยเป็นฐานมายาวนาน กลับแยกย้ายไปคนละทิศละทาง กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม มีหลายคนต่างออกมา “ด่าทอ” หลังจากรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกใช้
อีกทั้งหากมองในอีกมุมหนึ่งการ “เปิดตัวเร็ว” ของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร มันก็เหมือนกับการ “เปิดหน้า” ให้อีกฝ่ายโจมตี ซึ่งในอดีตเธอก็ “มีจุดอ่อน” ไม่น้อย ทั้งในเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” และล่าสุด ก็เพิ่งเกิดกรณีล้อเลียนเรื่องการ “พูดไทยคำอังกฤษคำ” ในลักษณะที่ย้อนรอยดิสเครดิตจนผิดเป้าหมายไปคนละเรื่อง
สารพัดเรื่องที่โถมเข้าใส่ดังกล่าว รวมไปถึงเรื่อง “การอุ้มท้อง” ที่หากมองในมุมหาเสียง มันก็กลายเป็นอุปสรรคเหมือนกัน เพราะหากนับจนถึงเดือนพฤษภาคม เธอก็จะท้องเก้าเดือน ใกล้กำหนดคลอด หรือถึงเวลาคลอดไปแล้วก็เป็นได้ ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างไม่เป็นใจ แม้ว่าเวลานี้ผลสำรวจยังออกมาในแบบที่ว่าพรรคเพื่อไทย และ “อุ๊งอิ๊ง” ยังมีคะแนนนิยมมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่กลายเป็นว่า “คู่แข่ง” ตามติดเข้ามาชนิดหายใจรดต้นคอ อย่างน้อยก็เริ่มเห็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากพรรครวมไทยสร้างชาติ “จี้ติด” เข้ามาแล้ว
ยังไม่นับคนอื่น เช่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รัฐมนตรีสาธารณสุข พรรคภูมิใจไทย หรือแม้แต่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล
นอกเหนือจากนี้ ข่าวคราวเรื่อง “ดีลลับ” กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ และเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไปก็จะจางหายไปเองนั้น อาจจะออกมาในทางตรงกันข้าม เพราะที่ผ่านมายังไม่มีใคร โดยเฉพาะคนในพรรคที่เป็นระดับตัดสินใจ ไม่เคยมีใครปฏิเสธแบบชัดถ้อยชัดคำ มีเพียงระดับ “ปลายแถว” เท่านั้นที่พูดอ้อมแอ้ม ไม่มีน้ำหนัก เรื่องนี้ ถือว่าตอกย้ำความรู้สึกของบรรดามวลชนผู้สนับสนุนไม่น้อยเหมือนกัน
เรื่องราวทั้งหมดดังกล่าว น่าจะเป็นเรื่องประจักษ์ความจริงว่าเป้าหมาย “แลนด์ไสลด์” ที่วาดหวังเอาไว้ นั่นคือ ต้องได้รับการเลือกตั้งเกิน 251 เสียง ซึ่งความหมายแบบนี้ก็อาจเกี่ยวข้องกับเรื่อง “ดีลลับ” ตั้งรัฐบาลผสม โดยมี “ภารกิจบางอย่าง” เป็นเงื่อนไข เช่น เรื่อง “พากลับบ้าน” แต่เมื่อทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จนทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่แบบ “หักมุม” กันอีกครั้ง นั่นคือ เรียกร้องให้มีการโหวตแบบ “ยุทธศาสตร์” ความหมายคือ “แบ่งเป็นสองขั้ว” คือ “เอา” หรือ “ไม่เอาทักษิณ” เท่านั้น
ล่าสุด นายทักษิณ ชินวัตร ก็ได้ออกมากล่าวในคลับเฮาส์ ในกลุ่มการเมืองของพวกเขา เรียกร้องให้ “ประชาชนเลือกแบบมียุทธศาสตร์” โดยระบุว่า “ถ้าประชาชนคิดจะสู้กับ ส.ว. ต้องเลือกแบบมียุทธศาสตร์”
เขากล่าวว่า เรื่องที่ ส.ว. ออกมาขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ มันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะต้องทำตามคำสั่ง ถ้าผมอยู่ ผมคงแก้กฎหมายให้ใช้หุ่นยนต์แทนได้ เพราะสุดท้ายก็ทำตามสั่งอยู่ดี จะงดออกเสียง จะไว้วางใจ ไม่ไว้วางใจ หรือเลือกใครเป็นนายกฯ ก็แล้วแต่จะสั่ง เที่ยวนี้ผมว่าประชาชนเขาเข็ดกับ ส.ว.แล้ว
ดังนั้น ฝ่ายประชาธิปไตยคงต้องช่วยตัวเอง ถ้าประชาชนคิดจะสู้กับ ส.ว.แต่งตั้ง ก็อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน ประชาชนต้องเลือกอย่างมียุทธศาสตร์ คือ เลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง ที่มีโอกาสชนะมากที่สุด มีคะแนนสูงให้เป็นพรรคหลักของฝ่ายประชาธิปไตย
วันนี้ผมดูคร่าวๆ ฝั่งประชาธิปไตยน่าจะรวมได้เกิน 375 เสียงแน่นอน ไม่ต้องพึ่งเสียง ส.ว. เลย เพราะวันนี้ประชาชนเรียนรู้แล้ว เข็ดแล้วครับ ทั้งบริหารผิดพลาด บริหารที่ไม่บริหาร แล้วมี ส.ว.เป็นที่ระคายอารมณ์ชาวบ้าน ดังนั้น วันเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ตามกรอบวันที่ 7 พฤษภาคม จะเป็นวันที่ประชาชนใช้ปากกา พิฆาตการเมืองระบอบเผด็จการ ให้เป็นประชาธิปไตย แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่เป็นประชาธิปไตยก็ตาม ยิ่งมี ส.ว. แบบนี้ ฝ่ายประชาธิปไตย จะยิ่งชนะอย่างท่วมท้น
ถ้าคิดว่า ส.ว. คือ อุปสรรคของประเทศ ประชาชนต้องช่วยกันในวันเลือกตั้ง ต้องขอบคุณ ส.ว. มากที่ออกมาพูดแบบนี้ ยิ่งมี ส.ว.แบบนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยจะยิ่งชนะอย่างท่วมท้นแน่นอน ยังไงแล้วพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยก็รวมกันได้
สมมติมีพรรคหลักพรรคหนึ่งได้ 300 ก็จะขาดแค่ 75 เสียงเท่านั้น จะจัดลำดับยังไง ก็ว่ากันไป ก้าวไกลก็คงได้ขนาดพอเหมาะ ไม่เล็กไม่ใหญ่ พรรคประชาชาติ คงได้ชายแดนใต้ ไหนจะพรรคเสรีรวมไทยอีก ดังนั้น ฝั่งฝ่ายค้านตอนนี้ยังไงก็รวมกันได้เกิน 375 แน่นอน ตอนแรกผมยังไม่มั่นใจ แต่วันนี้มั่นใจแล้วว่า ถึงแน่นอน ถ้ามี ส.ว. ที่พอเป็นกลางประมาณ 20 กว่าคน ก็คงยกมือเอาตามที่ประชาชนเลือก
นั่นคือ คำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกร้องให้ชาวบ้านเลือกแบบมียุทธศาสตร์ ในความหมายให้ “แบ่งเป็นสองขั้ว” แบ่งชัดกันไปเลยว่า “เอาหรือไม่เอา” ซึ่งแน่นอนว่าต้องการให้เทมาที่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ให้ได้เกิน 300 ที่นั่ง ส่วนพรรคอื่นๆ ก็แบ่งซอยย่อยกันไป
นั่นคือ มุมมองในฝั่ง “เอาทักษิณ” ที่เขาต้องการให้เทมาที่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ส่วนอีกด้านหนึ่งในฝั่งของ “ฝ่ายไม่เอา” แล้วคำถามก็คือ ฝั่งนี้จะเทไปทางไหน เทมาทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย หรือ ยังเชื่อมั่น “ลุงป้อม” ก็ให้เทมาที่ พรรคพลังประชารัฐ หรือเปล่า!
ซึ่งหากถูกบีบออกมาให้เหลือสองขั้วแบบนี้ แน่นอนว่า ในความเป็นไปได้แล้ว ถือว่าย่อมเข้าทาง “บิ๊กตู่” มากกว่าใคร ดังนั้น หากมองในมุมของนายทักษิณ ที่เสนอเลือกแบบยุทธศาสตร์เข้ามา ทางหนึ่งมันก็เหมือนเห็นแนวโน้มแล้วว่า แผน “แลนด์สไลด์” แบบเดิมนั้นไปไม่รอด จึงต้องทิ้งไพ่ให้ “เลือกข้าง” แต่เชื่อหรือไม่ว่า ทุกอย่างมันก็จะเข้าทางอีกฝ่ายอยู่ดี !!