“รวมไทยสร้างชาติ” อาการน่าเป็นห่วง เหตุหาผู้สมัครเกรดเอไม่ได้ เป้าหมาย 25 ที่นั่งยังแค่ฝัน “รศ.ดร.พิชาย” ชี้แม้ยุบสภาก็ไม่มีตัวเต็งไหลเข้า รทสช. เพราะมีพรรคสังกัดกันหมดแล้ว ขณะที่เกมยุบพรรคสกัดคู่แข่งเป็นไปได้ยาก ทันทีที่ยุบ “เพื่อไทย-ก้าวไกล” คะแนนจะเทไปพรรคคุณหญิงสุดารัตน์ ส่วนการยุบ “พลังประชารัฐ” ก็ไม่ง่าย เหตุ “บิ๊กป้อม” มีบารมีในองค์กรอิสระ ด้าน “รศ.สมชัย” ระบุแก้ระเบียบ กกต.ไม่เอื้อยุบพรรคคู่แข่ง เผยระเบียบเดิมก็สามารถยุบ “รวมไทยรักษาชาติ” ในเวลาแค่สัปดาห์เดียว
นับว่าอาการน่าเป็นห่วงทีเดียวสำหรับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่มีเป้าหมายจะดัน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย เนื่องด้วยจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถดึง ส.ส.เกรดเอ ที่มีฐานเสียงหนาแน่นในระดับ “นอนมา” ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเข้าสังกัดพรรคได้มากพอ ทำให้ความหวังที่จะได้ ส.ส.ถึง 25 ที่นั่งเพื่อเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ดูจะรางเลือนลงทุกที
ทำให้เหล่ากุนซือมองว่าจำเป็นต้องสร้างแต้มต่ออีก 2 ก้าว นั่นคือการ “ยุบสภา” เพื่อเปิดทางให้ ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นย้ายเข้าสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติในห้วงเวลาสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง และหากยังไม่มากพออาจจำเป็นต้องใช้ไม้สุดท้ายในการ “พลิกเกม” ด้วยการ “ยุบพรรค” ทั้งเพื่อไทย ก้าวไกล รวมถึงพลังประชารัฐ เพื่อสกัดคู่แข่ง และดูด ส.ส.จากพรรคดังกล่าวให้เข้ามาสังกัดรวมไทยสร้างชาติ
แต่ว่ากลยุทธ์ “ยุบ ทุบ ดูด” จะสามารถเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด คงต้องประเมินจากหลายปัจจัยด้วยกัน!
"ยุบสภา" ก็หา ส.ส.เกรดเอไม่ได้
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์ว่า โอกาสที่พรรครวมไทยสร้างชาติจะได้ ส.ส.ถึง 25 คนนั้นค่อนข้างน้อย โดยเท่าที่ประเมินตอนนี้มีหลายเขตที่เกิดความไม่แน่นอนขึ้นมา เช่น จ.ชลบุรี ที่ล่าสุดกลุ่มบ้านใหญ่ชลบุรี (นายสนธยา คุณปลื้ม) ย้ายจากพลังประชารัฐไปสังกัดพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยใน จ.ชลบุรี มีทั้งกระแสนิยมของพรรคและฐานเสียงของกลุ่มบ้านใหญ่ ซึ่ง 2 ปัจจัยนี้มารวมกันทำให้เกิดความแข็งแกร่งขึ้นมาก กระแสของเพื่อไทยใน จ.ชลบุรี จึงยิ่งแรงขึ้นไปอีก ส่งผลให้กลุ่มของนายสุชาติ ชมกลิ่น จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งตอนแรกคาดว่าน่าจะได้ ส.ส.ชลบุรี 4 ที่นั่ง ก็เหลือแค่ 1 ที่นั่งเท่านั้น
ส่วนในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดที่พรรครวมไทยสร้างชาติมีโอกาสมากที่สุดคือ จ.ชุมพร โดยมีกลุ่มของนายชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมพร เป็นตัวยืน อีกทั้งชาวชุมพรนิยมชมชอบ พล.อ.ประยุทธ์ แต่โอกาสที่จะได้ ส.ส.ยกจังหวัดก็ยังยาก เพราะบางเขตพรรคประชาธิปัตย์มีฐานเสียงแน่นอยู่ ก็คงสู้กันเต็มกำลัง
ขณะที่ จ.นครศรีธรรมราช แม้พรรครวมไทยสร้างชาติจะมีโอกาส แต่ 9 ที่นั่งของ จ.นครศรีธรรมราช มีถึง 3 พรรคที่ครองพื้นที่อยู่ คือ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และรวมไทยสร้างชาติ โดยคะแนนนิยมของทั้ง 3 พรรคสูสีกันมาก ห่างกันแค่ 1% เท่านั้น ซึ่งปัจจัยที่จะชี้ขาดคือฐานเสียงและทรัพยากรที่ใช้ในการเลือกตั้ง ดังนั้น รวมไทยสร้างชาติคงต้องเผชิญกับการต่อสู้อย่างเข้มข้นของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งต้องการรักษาฐานเสียงไว้ ขณะที่บางเขตพรรคเพื่อไทยก็มีโอกาสเช่นกัน โดยเฉพาะเขตที่มีมหาวิทยาลัย หรือเขตที่เป็นเมือง เช่น เขตอำเภอท่าศาลา ซึ่งมีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เขตอำเภอเมือง ซึ่งมีมหาวิทยาลัยราชภัฏ และที่ทุ่งสง ซึ่งคะแนนนิยมของเพื่อไทยในเขตดังกล่าวดีมาก มีโอกาสปักธง ส.ส.ของพรรคได้เลย
“นอกจากพื้นที่ที่กล่าวมา จังหวัดอื่นๆ พรรครวมไทยสร้างชาติไม่มี ส.ส.ที่มีฐานเสียงโดดเด่นมากนัก และหากยังหาตัวผู้สมัครที่มีฐานเสียงหนาแน่นไม่ได้จะเป็นปัญหา ดังนั้นโอกาสที่รวมไทยสร้างชาติจะได้ถึง 25 ที่นั่งแม้จะพอมีอยู่ แต่ก็ +5 -5 ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูง” รศ.ดร.พิชาย กล่าว
ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินเกมยุบสภา เพื่อให้ ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นสามารถย้ายเข้าสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติในช่วงสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งนั้น รศ.ดร.พิชาย มองว่า ผลอาจไม่เป็นอย่างที่หวัง เนื่องจากตอนนี้ ส.ส.เกรดเอ ซึ่งมีฐานเสียงในแต่ละจังหวัด ส่วนใหญ่จะมีพรรคสังกัดหมดแล้ว โดยเฉพาะ ส.ส.ที่ย้ายออกจากพรรคภูมิใจไทย และพลังประชารัฐ ถ้าจะมีบ้างก็ ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่จะย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ เช่น ส.ส.จังหวัดราชบุรี หรือ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ที่ประกาศว่าหากยุบสภาเมื่อไหร่จะลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แต่โดยรวมก็มีไม่กี่คน ส่วนคนที่คาดว่าจะไปอยู่รวมไทยสร้างชาตินั้นส่วนใหญ่จะเป็น ส.ส.แถวสอง แถวสาม ซึ่งมีฐานคะแนนไม่มากนัก บ้างก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ดังนั้น จึงไม่อาจการันตีได้ว่าคนที่ย้ายไปอยู่รวมไทยสร้างชาติจะได้เป็น ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“ความคิดที่ว่าหลังยุบสภาจะมี ส.ส.ซึ่งมีฐานเสียงหนาแน่นย้ายไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาตินั้นค่อนข้างยาก การจะดึง ส.ส.ไปจากพลังประชารัฐ หรือภูมิใจไทยก็ไม่ง่าย ดังนั้นแม้จะยุบสภา และมี ส.ส.หรือนักการเมืองไหลเข้าพรรค ก็ไม่ได้แปลว่ารวมไทยสร้างชาติจะมีโอกาสได้ ส.ส.เพิ่มขึ้น” รศ.ดร.พิชาย ระบุ
แม้ยุบ "เพื่อไทย-ก้าวไกล"
คะแนนก็ไหลไปขั้วเดียวกัน
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าอาจมีการยุบพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล รวมถึงพลังประชารัฐ เพื่อกรุยทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกฯ อีกสมัย เพราะนอกจากจะตัดคู่แข่งรายสำคัญออกไปได้แล้วยังทำให้รวมไทยสร้างชาติมีคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น เพราะ ส.ส.เกรดเอจากพรรคที่ถูกยุบจะพากันไหลเข้าสังกัดรวมไทยสร้างชาตินั้น รศ.ดร.พิชาย ชี้ว่า ความพยายามที่จะยุบพรรคพลังประชารัฐก็อาจจะมีคนคิดอยู่แต่ไม่รู้ว่าเขาจะมีอำนาจบารมีขนาดไหนที่จะทำให้ความคิดเป็นจริง เพราะทางพลังประชารัฐคงต้องสู้ พล.อ.ประวิตรไม่มีทางยอม และที่สำคัญ พล.อ.ประวิตร เป็นคนที่มีบารมีในองค์กรอิสระมากพอสมควร ดังนั้นโอกาสที่จะยุบพรรคพลังประชารัฐก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งลำพัง พล.อ.ประยุทธ์คงทำไม่ได้
หรือที่มีการวิเคราะห์กันว่าระหว่างที่มีการสมัครรับเลือกตั้งแล้วมีคนร้องเรียนพรรคเพื่อไทย หรือก้าวไกล หรืออาจร้องเรียนให้ยุบพรรคพลังประชารัฐด้วย ซึ่งหมายความว่าทั้ง 3 พรรคจะหมดสิทธิทางการเมืองไปเลยนั้น ปกติกรณีเช่นนี้ก็เป็นไปได้ยาก แต่ถ้าไม่ปกติตามแนวคิดของกลุ่มอนุรักษนิยมสุดขั้วที่อยากให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้อาจจะใช้พลังบางอย่างที่ทำให้เกิดความไม่ปกติขึ้นเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้อยู่ต่อ ซึ่งเป็นความปรารถนาของคนจำนวนน้อย แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นเพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งหรือความรุนแรงทางการเมือง
ส่วนกรณีที่ กกต.ออกระเบียบว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ.2566 ซึ่งปรับแก้เรื่องการยุบพรรคการเมือง ทำให้หลายฝ่ายวิตกว่าเป็นการแก้ระเบียบเพื่อเปิดทางให้ยุบพรรคเพื่อสกัดคู่แข่งทางการเมืองนั้น รศ.ดร.พิชาย อธิบายว่า ระเบียบที่ออกมาใหม่เป็นไปเพื่อเร่งรัดเรื่องการตรวจสอบให้เร็วขึ้น ซึ่งบางกลุ่มที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะประเมินในเชิงลบสุดขั้วว่าจะนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชารัฐเพื่อที่จะให้ ส.ส.พลังประชารัฐไหลไปรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งออกจะจินตนาการมากไปหน่อย
“ถ้ามีการยุบพรรคเพื่อไทย หรือก้าวไกล มวลชนก็มีทางออกหลายทาง 1.เดินลงถนน 2.เทคะแนนให้พรรคขั้วเดียวกัน เช่น หากเพื่อไทยถูกยุบ มวลชนอาจเทคะแนนให้พรรคไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ หรือให้พรรคก้าวไกล หรือหากยุบก้าวไกลแต่เพื่อไทยยังอยู่อาจจะเทคะแนนให้เพื่อไทย แต่ถ้าทั้งเพื่อไทย และก้าวไกลถูกยุบ จะเทคะแนนไปให้พรรคของคุณหญิงสุดารัตน์ ดังนั้นต่อให้เล่นเกมนี้ก็ตัดคะแนนของพรรคฝ่ายค้านไม่ได้อยู่ดี นอกจากจะยุบพรรคฝ่ายค้านทุกพรรค ซึ่งเป็นไปไม่ได้ หรือหากจะยุบพลังประชารัฐก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การเดินเกมยุบพรรคเพื่อตัดคู่แข่งทางการเมืองโอกาสจะสำเร็จมีน้อยมาก” รศ.ดร.พิชาย กล่าว
“กกต.” แก้ระเบียบ
ไม่เกี่ยวยุบพรรค สกัดคู่แข่ง
ขณะที่ รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงถึงกรณีที่ กกต.ออกระเบียบว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ.2566 ที่ปรับแก้เรื่องการพิจารณายุบพรรคการเมือง ว่า เป็นการออกระเบียบเพื่อกำหนดกรอบระยะเวลาในการทำงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเท่านั้น อันได้แก่
1.เมื่อเลขาธิการ กกต.รับเรื่องร้องเรียนหรือพบการกระทำผิดของพรรคการเมือง ตามมาตรา 92 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การยุบพรรค เช่น การล้มล้างการปกครอง การรับเงินจากต่างชาติ การรับเงินจากทุนสีเทา มีบุคคลภายนอกครอบงำพรรค เลขาธิการ กกต.จะต้องสรุปให้ได้ภายใน 1 สัปดาห์ ว่า มีความผิดหรือไม่ ถ้าไม่มีความผิด ก็ให้ยกคำร้อง โดยต้องแจ้งแก่ผู้ร้องทันที และรายงานต่อ กกต.ด้วย แต่ถ้าสรุปว่าน่าจะมีความผิดให้ดำเนินการในขั้นตอนที่ 2 ต่อไป ซึ่งระเบียบข้อนี้นั้นแต่เดิมไม่ได้มีการกำหนดระยะเวลาว่าเลขา กกต.ต้องสรุปภายในกี่วัน
2.หากพบว่ามีความผิดให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเก็บรวมรวมข้อมูลและข้อเท็จจริง โดยมีกรอบเวลา 30 วัน และขยายเวลาได้ครั้งละ 30 วัน กี่ครั้งก็ได้
3.หลังจากสรุปว่าน่าจะมีความผิดและส่งเรื่องไปยัง กกต.แล้ว กกต.จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ซึ่งเดิมไม่ได้กำหนดเวลาว่าต้องแล้วเสร็จเมื่อใด
ซึ่งการแก้ไขระเบียบดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดกรอบระยะเวลาการทำงานให้เร็วขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการแก้ระเบียบเพื่อเอื้อให้ กกต.ยุบพรรคเพื่อให้เกิดการได้เปรียบของพรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาแม้จะเป็นระเบียบเดิม กกต.ก็สามารถพิจารณายุบพรรคได้รวดเร็วอยู่แล้ว
“เชื่อว่าระเบียบดังกล่าวไม่ได้ถูกแก้ไขเพื่อให้มีการยุบพรรคเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่างที่หลายฝ่ายวิตกกัน เพราะจะเห็นได้ว่าต่อให้เป็นระเบียบเดิมก็ยุบพรรคได้โดยใช้เวลานิดเดียว อย่างกรณีการยุบพรรครวมไทยรักษาชาติ ตั้งแต่ยื่นเรื่องจนถึงพิจารณายุบพรรคแล้วเสร็จใช้เวลาแค่ 1 สัปดาห์เท่านั้น หรือกรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ก็ใช้เวลาแค่ 2 สัปดาห์ แต่ที่ติดใจคือในข้อสุดท้ายของระเบียบนี้ที่ระบุว่าถ้าเป็นเรื่องร้องเรียนเก่าๆ ไม่ต้องใช้ระเบียบนี้ จะใช้ระเบียบนี้เฉพาะเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 15 ก.พ.2566 เท่านั้น ซึ่งสงสัยว่าทำไมไม่ทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน” รศ.สมชัย ระบุ
รวมไทยสร้างชาติ
หมดโอกาสเป็นรัฐบาล
จากข้อมูลข้างต้น ณ เวลานี้สถานการณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติจึงไม่สู้ดีนัก โดย รศ.ดร.พิชาย ชี้ว่า โอกาสที่พรรครวมไทยสร้างชาติจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมีน้อยมาก เพราะหากดูผลสำรวจจากโพลต่างๆ ตั้งแต่ปี 2565-2566 จะเห็นว่าคะแนนนิยมของพรรคพรรคฝ่ายค้านสูงถึง 66-67% และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีแนวโน้มจะไปถึง 70% ในช่วงใกล้เลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มว่าคะแนนนิยมจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลแม้จะเพิ่มขึ้นไม่มากแต่ก็ไม่ได้ลดลง ส่วนคะแนนนิยมพรรคเสรีรวมไทย และพรรคประชาชาติก็ยังคงที่ คะแนนนิยมส่วนตัวของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อยู่ที่ 6% กว่าๆ คะแนนนิยมของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็คงที่ เพราะฉะนั้นเมื่อรวมเสียงของประชาชนที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านโดยปราศจากการแทรกแซงจะอยู่ที่ประมาณ 70% แต่ในช่วงเลือกตั้งประชาชนบางส่วนอาจจะถูกโน้มน้าวจูงใจด้วยปัจจัยบางอย่างซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนบางกลุ่ม แต่คงไม่มากนัก
ล่าสุด ประเมินแล้วคะแนนของพรรคฝ่ายค้านรวมแล้วอยู่ที่ 300+ 300- ส่วนพรรครัฐบาลอยู่ที่ 180+ 180- ซึ่งสมการที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดคือเพื่อไทยจับกับพลังประชารัฐเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยเงื่อนไขที่เพื่อไทยจะจับกับพลังประชารัฐคือ เพื่อไทยได้เสียง 220-230 ที่นั่ง และพลังประชารัฐได้ 40-50 ที่นั่ง รวมกันได้ 280-290 เสียง และดึงพรรคเล็กอีก 1-2 พรรคเข้ามาเพื่อให้คะแนนถึง 300 และอาศัยคะแนนของ ส.ว.อีก 80 เสียง สูตรนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด
“โอกาสที่รวมไทยสร้างชาติจะได้ถึง 25 เสียงนั้นเป็นไปได้ยาก คือกระแสของ พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะมีอยู่บ้างในภาคใต้บางจังหวัดและในกรุงเทพฯ พอมีอยู่บ้าง แต่ไม่พอที่จะทำให้ได้ถึง 25 เสียง และจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติเลย ขณะที่พรรคอื่นชูนโยบายหาเสียงกันหมดแล้ว โอกาสที่รวมไทยสร้างชาติจะได้เป็นแกนนำรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ มีน้อยมาก ถึงได้เป็นก็มีปัญหา ถ้าจะยุบพรรคคู่แข่งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยาก ดังนั้นเชื่อว่าการยุบพรรคไม่น่าจะเกิดขึ้น” รศ.ดร.พิชาย ระบุ