xs
xsm
sm
md
lg

“ก้าวไกล” ไม่โต รอเมตตาเพื่อไทย!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ปิยบุตร แสงกนกกุล - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เมืองไทย 360 องศา

วันก่อนได้เห็นโพสต์ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ หัวข้อ “แลนด์สไลด์ ที่พรรคก้าวไกล แก้ไม่ออก” มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ท่าที และความเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลในปัจจุบันที่มีลักษณะเหมือนกับ “น้ำเต็มแก้ว” ในความหมายก็คือ “อยู่กับที่” ไม่มีแนวโน้มเติบโตมากไปกว่านี้ ตราบใดที่ไม่คิดเปลี่ยนแปลง สร้าง “พลังใหม่” ของตัวเอง ก็จะเป็นเพียงพรรครอง ได้รับอานิสงส์เพียงแค่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อราว 30 ที่นั่งเท่านั้น และรอความเมตตาจากพรรคเพื่อไทย ดึงมาร่วมรัฐบาลแลกกับเก้าอี้รัฐมนตรีสองสามตำแหน่ง เท่านั้น

เขาระบุว่า “ประชาชนจำนวนมากต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หากสังเกตจากผลการสำรวจความคิดเห็น หรือการรับรู้ พูดคุยในกลุ่มแวดวงต่างๆ เชื่อได้ว่า ร้อยละ 60 อยากเปลี่ยนรัฐบาล และจะใช้การเลือกตั้งในปี 2566 นี้เป็นเครื่องมือสำคัญ

การรณรงค์ให้ลงคะแนนแบบยุทธศาสตร์เพื่อให้ พรรคเพื่อไทย (พท.) แลนด์สไลด์ กำลังเป็นที่แพร่หลาย และได้การยอมรับไปทั่ว หากดูผลสำรวจความคิดเห็นก็จะพบว่า คะแนนของพรรคเพื่อไทย และคุณแพทองธาร สูงมาก ทั้งในภาพรวมทั่วประเทศ และในทุกพื้นที่แม้กระทั่งภาคใต้

สำหรับพรรคก้าวไกลเอง คะแนนนิยมนิ่งอยู่กับที่มาปีเศษแล้ว ผู้อำนวยการนิด้าโพล ได้วิเคราะห์ไว้ในรายการหนึ่งว่า คะแนนของพรรคก้าวไกล เป็น “น้ำเต็มแก้ว” ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ใด เวลาผ่านไปนานเท่าไร คะแนนก็จะอยู่เท่านี้

เรียกได้ว่า คะแนนจากผลสำรวจที่พรรคก้าวไกลได้รับนั้น คือ “แฟนพันธุ์แท้” หากพรรคก้าวไกลต้องการคะแนนมากกว่านี้ ต้องการมี ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้มากกว่านี้ จำเป็นต้องแสวงหาคะแนนจากกลุ่มผู้ที่ไม่ตัดสินใจ หรือกลุ่มที่ตัดสินใจเลือกพรรคอื่น จะได้คะแนนส่วนนี้เพิ่มมาได้ พรรคก้าวไกลต้องแก้ปมปัญหาเรื่อง “แลนด์สไลด์” คนจำนวนมากที่เป็น “แฟนพันธุ์แท้” พรรคเพื่อไทย ย่อมลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ แต่มีคนอีกจำนวนมาก ที่รักเพื่อไทย แต่ก็เห็นประโยชน์ของการมีพรรคแบบก้าวไกล คนจำนวนมากที่รักทั้งสองพรรค คนจำนวนมากที่เห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำ แต่คิดว่าเป็นการต่อสู้ระยะยาว หรือคนจำนวนมากชอบพรรคก้าวไกล แต่ไม่คิดว่าจะชนะได้ในเขตเลือกตั้ง ไม่คิดว่าจะชนะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้

คนเหล่านี้ อาจเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และแบ่งมาลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกล ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากความคิดเรื่อง “แลนด์สไลด์” ด้วยระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400 บัญชี 100 ทำให้คะแนนแบบแบ่งเขตของผู้ที่ไม่ได้ลำดับที่ 1 ถูกทิ้งน้ำไปหมด ไม่เหมือนตอนปี 2562 ที่ยังนำมาคำนวณเป็น ส.ส.ทั่วประเทศ

และด้วยความคิดที่ว่าหากเพื่อไทยกับก้าวไกลแข่งกันเองในเขตเลือกตั้ง อาจทำให้แพ้ทั้งคู่ จนพรรคประยุทธ์ หรือพรรคอื่นที่อยู่อีกขั้วชนะไป ดังปรากฏให้เห็นหลายเขตในการเลือกตั้งปี 2562 ประกอบกับ “สวิตช์ ส.ว. 250” คน ยังทำงานออกฤทธิ์ได้อีก

ทั้งหมดนี้ทำให้ประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาล เลือกที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยสองใบ หรือเลือกพรรคเพื่อไทยในแบบเขต เลือกพรรคก้าวไกลแบบบัญชีรายชื่อ

หากสถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ยังเป็นเช่นนี้ไปจนถึงวันลงคะแนน พรรคก้าวไกล ก็จะได้ส.ส.เขตน้อยมาก และได้ “ส่วนแบ่ง” จากบัญชีรายชื่อมา รวมยอด ส.ส.ทั้งหมด คงไปไม่เกิน 30

หากพรรคก้าวไกลไม่คิดอะไรมาก ได้เท่าไรก็เท่านั้น รอบนี้ขอ “เกาะพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล” ไว้ก่อน พรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องแก้ไขอะไร ไม่ต้องคิดยุทธวิธีใหม่ ประคองตัวไปจนจบเลือกตั้ง และถ้าไม่มีสัญญาณแปลกๆ ใดมาขัดขวาง หรือรวมเสียงฝ่ายค้านเดิมเพียงพอ “พี่ใหญ่” ก็อาจเมตตาชวน “น้องเล็ก” ไปร่วมรัฐบาล แบ่ง รมต.ให้สัก 2-3 ที่

แต่ถ้าพรรคก้าวไกลยังคงต้องการเสียงมากกว่านี้ จำนวน ส.ส.มากกว่านี้ พิสูจน์ตนเองว่าแนวคิดแนวทางที่ทำกันมาตั้งแต่อนาคตใหม่ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนเห็นด้วยมาก พรรคก้าวไกลก็ต้องคิดแก้ปมปัญหา “แลนด์สไลด์” ให้ได้

หนึ่ง ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสชนะในเขตเลือกตั้งสูง ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจะเข้าที่ 1 ไม่ใช่เข้าที่ 2 หรือที่ 3 หากทำให้คนจำนวนมากเชื่อได้ คนก็จะมาเลือก เพราะคะแนนนี้ไม่ทิ้งน้ำ ไม่เปล่าประโยชน์ แต่จะทำให้พรรคก้าวไกลชนะ ส.ส.เขต

สอง ขีดเส้นแบ่งใหม่ ไม่ใช่ “ฝ่าย non ประยุทธ์” vs “ฝ่ายประยุทธ์” ไม่ใช่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” vs “ฝ่ายเผด็จการ” แบบเดิมๆ แต่เป็นการสู้กันระหว่าง “พลังเก่า” vs “พลังใหม่” และพรรคก้าวไกล คือตัวแทนของพลังใหม่

สร้างความแตกต่างของตนเองออกจากทุกพรรค ทุกขั้ว พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเทคะแนนให้พลังใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลง ให้คนจำนวนมากตระหนักว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ ความใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ในอนาคต มิใช่วนเวียนอยู่กับเรื่องเอาทักษิณ ไม่เอาทักษิณ เอาประยุทธ์ ไม่เอาประยุทธ์ วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ ที่ล้อมสังคมไทย กักขังสังคมไทยไว้ตั้งแต่ 2549 ไม่ให้ไปไหน

หากเลือกเส้นทางนี้ การทำแคมเปญ กำหนดยุทธวิธี การคิดคำ ประดิษฐ์คำ ทำม็อตโต้ ชูคำขวัญ ให้เดินตามสองข้อข้างต้น คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคณะทำงาน

แต่การเมือง อยู่ที่ความเชื่อ ผู้คนจำนวนมากต้องเชื่อก่อนว่าจริง เราทำได้จริง ต่อให้คิดค้นแคมเปญได้ดีเลิศขนาดไหน แต่ถ้าคนไม่เชื่อ แคมเปญนั้นก็เป็นเพียงบันทึกเก็บไว้ใน Portfolio ปัญหาจึงมีอยู่ว่า…ผู้นำพรรคก้าวไกล มีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะชนะในเขตเลือกตั้งได้หรือไม่ มีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อโดยพร้อมเพรียงกันว่า ต้องมีพรรคก้าวไกลเป็นตัวแทนของพลังใหม่ในการเปลี่ยนประเทศตั้งแต่รอบนี้ ได้หรือไม่ เหลือเวลาอีกสามเดือน !!!

แน่นอนว่า ในการวิเคราะห์ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ทางหนึ่งก็รับรู้สภาพความเป็นจริง และเห็นแนวโน้มของพรรคก้าวไกลในอนาคต ว่า ผลการเลือกตั้งจะออกมาแบบไหน ในความหมายของ “น้ำเต็มแก้ว” นั่นคือ “ไม่โต” เป็นแค่ “มวยรอง” หรือ “เกือบได้” ในแบบ ส.ส.เขต หวังพึ่งพาเพียงแค่ระบบบัญชีรายชื่อ ที่อาจได้ ส.ส. 20-30 ที่นั่ง

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเขาก็พยายามกระตุ้นให้พรรคก้าวไกล โดยหัวหน้าพรรค คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สร้างจุดขายใหม่ นั่นคือสร้าง “พลังใหม่” ขึ้นมาโดยที่พรรคเป็นตัวแทนของพลังดังกล่าวขึ้นมา ทางหนึ่งก็เพื่อหลุดออกมาจากใต้ปีกของพรรคเพื่อไทย และ “อุบายแลนด์สไลด์” ของพวกเขา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้

อย่างไรก็ดี นายปิยบุตร แสงกนกกุล ก็ยังเป็นนักวิชาการในตำรา แต่ในทางการเมืองยังถือว่าอาจมองไม่ทะลุไปจากความเป็นจริง ที่ผ่านมา หากมองกันแบบไม่บิดเบือนก็ต้องเข้าใจว่า สาเหตุที่พรรคก้าวไกล หรือ พรรคอนาคตใหม่ในอดีตมี ส.ส.เป็นกอบเป็นกำขนาดนี้ ส่วนสำคัญก็มาจากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ จาก “แบงก์ย่อย” ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ผิดพลาด แต่ก็ถือว่าพวกเขามาไกลเกินคาดแล้ว โดยเฉพาะการปลุกระดม “เด็กๆ คนรุ่นใหม่” ในระดับนักเรียนนักศึกษา ที่ไร้ประสบการณ์ชีวิตและหน้าที่การงาน มีแต่ความร้อนแรง และความฝันในโลกสวยงาม ซึ่งทุกคนก็ล้วนผ่านอารมณ์แบบนี้มาแล้วทั้งนั้น

อีกทั้งก็ต้องยอมรับกันว่า การปลุกระดม “ขบวนการสามนิ้ว” ที่ดำเนินการมาในทุกรูปแบบ นาทีนี้ถือว่า “ปลุกไม่ขึ้น” และเชื่อว่าไม่โตไปกว่านี้แล้ว ทางหนึ่งอาจเป็นเพราะ “ไม่มีเงื่อนไข” หรือหากมองว่าอีกฝ่ายที่คนพวกนี้ชอบเรียกว่า “ฝ่ายอนุรักษ์” นั้น เขาก็ทันเกม ลดเงื่อนไขลงไปได้มาก จนไม่มีทางสุกงอม จนเกิดเป็นพลังปฏิวัติประชาชนตามความฝันไปได้แน่นอน

ลักษณะจึงเป็นแบบ “น้ำเต็มแก้ว” อยู่เท่าเดิม นั่นคือ ในความหมาย “ไม่โต” ไปมากกว่านี้ หรือเต็มที่ก็เป็นแค่ “มวยรอง” หรือ “เกือบได้” ในระดับ ส.ส.เขต โดยมีผู้สนับสนุนจากกลุ่ม “แฟนพันธุ์แท้” ที่ว่านั่นแหละ แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่มากพอ แต่ถึงอย่างไรหากมองในมุมบวกก็ต้องถือว่า “มาไกล” เกินคาดแล้ว เพียงแต่ว่ามัน ทรงๆ อยู่แค่นี้แหละ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น