ต้องแก้ “แลนด์สไลด์”! “ปิยบุตร” วิพากษ์ “ก้าวไกล” กระแสนิ่งนับปี ยกข้อมูล ผอ.นิด้าโพล คะแนน “น้ำเต็มแก้ว” ห่วงได้ ส.ส.ไม่เกิน 30 แนะ เลือกเอาประคองตัวรอร่วมรัฐบาล กับ “เพื่อไทย” ขอ รมต.สัก 2-3 คน หรือ “สู้” ชูความเป็น “พลังใหม่”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (19 ก.พ. 66) เพจเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์หัวข้อ “แลนด์สไลด์ ที่พรรคก้าวไกล แก้ไม่ออก”
โดยระบุว่า “ประชาชนจำนวนมากต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หากสังเกตจากผลการสำรวจความคิดเห็น หรือการรับรู้พูดคุยในกลุ่มแวดวงต่างๆ เชื่อได้ว่า ร้อยละ 60 อยากเปลี่ยนรัฐบาล และจะใช้การเลือกตั้งในปี 2566 นี้เป็นเครื่องมือสำคัญ
การรณรงค์ให้ลงคะแนนแบบยุทธศาสตร์เพื่อให้ พรรคเพื่อไทย (พท.) แลนด์สไลด์ กำลังเป็นที่แพร่หลายและได้การยอมรับไปทั่ว หากดูผลสำรวจความคิดเห็นก็จะพบว่าคะแนนของพรรคเพื่อไทย และ คุณแพทองธาร สูงมาก ทั้งในภาพรวมทั่วประเทศ และในทุกพื้นที่ แม้กระทั่งภาคใต้
สำหรับพรรคก้าวไกลเอง คะแนนนิยมอยู่นิ่งอยู่กับที่มาปีเศษแล้ว ผู้อำนวยการนิด้าโพล ได้วิเคราะห์ไว้ในรายการหนึ่งว่า คะแนนของพรรคก้าวไกลเป็น “น้ำเต็มแก้ว” ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ใด เวลาผ่านไปนานเท่าไร คะแนนก็จะอยู่เท่านี้
เรียกได้ว่า คะแนนจากผลสำรวจที่พรรคก้าวไกลได้รับนั้นคือ “แฟนพันธุ์แท้”
หากพรรคก้าวไกลต้องการคะแนนมากกว่านี้ ต้องการมี ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้มากกว่านี้ จำเป็นต้องแสวงหาคะแนนจากกลุ่มผู้ที่ไม่ตัดสินใจ หรือกลุ่มที่ตัดสินใจเลือกพรรคอื่น
จะได้คะแนนส่วนนี้เพิ่มมาได้ พรรคก้าวไกลต้องแก้ปมปัญหาเรื่อง “แลนด์สไลด์”
คนจำนวนมากที่เป็น “แฟนพันธุ์แท้” พรรคเพื่อไทย ย่อมลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ
แต่มีคนอีกจำนวนมากที่รักเพื่อไทย แต่ก็เห็นประโยชน์ของการมีพรรคแบบก้าวไกล
คนจำนวนมากที่รักทั้งสองพรรค
คนจำนวนมากที่เห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำ แต่คิดว่าเป็นการต่อสู้ระยะยาว
หรือคนจำนวนมากชอบพรรคก้าวไกล แต่ไม่คิดว่าจะชนะได้ในเขตเลือกตั้ง ไม่คิดว่าจะชนะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้
คนเหล่านี้ อาจเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และแบ่งมาลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกล
ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากความคิดเรื่อง “แลนด์สไลด์”
ด้วยระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400 บัญชี 100 ทำให้คะแนนแบบแบ่งเขตของผู้ที่ไม่ได้ลำดับที่ 1 ถูกทิ้งน้ำไปหมด ไม่เหมือนตอนปี 2562 ที่ยังนำมาคำนวณเป็น ส.ส.ทั่วประเทศ
และด้วยความคิดที่ว่าหากเพื่อไทยกับก้าวไกลแข่งกันเองในเขตเลือกตั้ง อาจทำให้แพ้ทั้งคู่ จนพรรคประยุทธ์ หรือพรรคอื่นที่อยู่อีกขั้วชนะไป ดังปรากฏให้เห็นหลายเขตในการเลือกตั้งปี 2562 ประกอบกับ “สวิตช์ ส.ว. 250” คน ยังทำงานออกฤทธิ์ได้อีก
ทั้งหมดนี้ทำให้ประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาลเลือกที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยสองใบ หรือเลือกพรรคเพื่อไทยในแบบเขต เลือกพรรคก้าวไกลแบบบัญชีรายชื่อ
หากสถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ยังเป็นเช่นนี้ไปจนถึงวันลงคะแนน พรรคก้าวไกลก็จะได้ ส.ส.เขตน้อยมาก และได้ “ส่วนแบ่ง” จากบัญชีรายชื่อมา รวมยอด ส.ส.ทั้งหมด คงไปไม่เกิน 30
หากพรรคก้าวไกลไม่คิดอะไรมาก ได้เท่าไรก็เท่านั้น รอบนี้ขอ “เกาะพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล” ไว้ก่อน พรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องแก้ไขอะไร ไม่ต้องคิดยุทธวิธีใหม่ ประคองตัวไปจนจบเลือกตั้ง และถ้าไม่มีสัญญาณแปลกๆ ใดมาขัดขวาง หรือรวมเสียงฝ่ายค้านเดิมเพียงพอ “พี่ใหญ่” ก็อาจเมตตาชวน “น้องเล็ก” ไปร่วมรัฐบาล แบ่ง รมต.ให้สัก 2-3 ที่
แต่ถ้าพรรคก้าวไกลยังคงต้องการเสียงมากกว่านี้ จำนวน ส.ส.มากกว่านี้ พิสูจน์ตนเองว่าแนวคิดแนวทางที่ทำกันมาตั้งแต่อนาคตใหม่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนเห็นด้วยมาก พรรคก้าวไกลก็ต้องคิดแก้ปมปัญหา “แลนด์สไลด์” ให้ได้
หนึ่ง ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสชนะในเขตเลือกตั้งสูง ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจะเข้าที่ 1 ไม่ใช่เข้าที่ 2 หรือที่ 3
หากทำให้คนจำนวนมากเชื่อได้ คนก็จะมาเลือก เพราะคะแนนนี้ไม่ทิ้งน้ำ ไม่เปล่าประโยชน์ แต่จะทำให้พรรคก้าวไกลชนะ ส.ส.เขต
สอง ขีดเส้นแบ่งใหม่ ไม่ใช่ “ฝ่าย non ประยุทธ์” vs “ฝ่ายประยุทธ์” ไม่ใช่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” vs “ฝ่ายเผด็จการ” แบบเดิมๆ
แต่เป็นการสู้กันระหว่าง “พลังเก่า” vs “พลังใหม่” และพรรคก้าวไกลคือตัวแทนของพลังใหม่
สร้างความแตกต่างของตนเองออกจากทุกพรรค ทุกขั้ว พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเทคะแนนให้พลังใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลง ให้คนจำนวนมากตระหนักว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ ความใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ในอนาคต มิใช่วนเวียนอยู่กับเรื่องเอาทักษิณ ไม่เอาทักษิณ เอาประยุทธ์ ไม่เอาประยุทธ์ วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ ที่ล้อมสังคมไทย กักขังสังคมไทยไว้ตั้งแต่ 2549 ไม่ให้ไปไหน
หากเลือกเส้นทางนี้ การทำแคมเปญ กำหนดยุทธวิธี การคิดคำ ประดิษฐ์คำ ทำม็อตโต้ ชูคำขวัญ ให้เดินตามสองข้อข้างต้น คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคณะทำงาน
แต่การเมือง อยู่ที่ความเชื่อ
ผู้คนจำนวนมากต้องเชื่อก่อนว่าจริง เราทำได้จริง
ต่อให้คิดค้นแคมเปญได้ดีเลิศขนาดไหน แต่ถ้าคนไม่เชื่อ แคมเปญนั้นก็เป็นเพียงบันทึกเก็บไว้ใน Portfolio
ปัญหาจึงมีอยู่ว่า…ผู้นำพรรคก้าวไกลมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะชนะในเขตเลือกตั้งได้หรือไม่?
มีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อโดยพร้อมเพรียงกันว่าต้องมีพรรคก้าวไกลเป็นตัวแทนของพลังใหม่ในการเปลี่ยนประเทศตั้งแต่รอบนี้ ได้หรือไม่?
เหลือเวลาอีกสามเดือน !!!"
แน่นอน, “ปิยบุตร” ต้องการกระตุ้นให้ พรรคก้าวไกล คิดแก้เกมกระแส “แลนด์สไลด์” ของพรรคเพื่อไทย ถ้าหวังจะได้ ส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อมากขึ้น โดยระบุว่า ที่เป็นอยู่ กระแสนิ่งมาปีเศษแล้ว ทั้งคะแนนยังเป็น “น้ำเต็มแก้ว” อีกต่างหาก
ประเด็นก็คือ พรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย มีฐานเสียงของคนที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาลกลุ่มเดียวกัน เมื่อพรรคเพื่อไทย ชู ชนะแบบ “แลนด์สไลด์” หรือ ถล่มทลาย ได้ที่นั่ง ส.ส. 251 ที่นั่งขึ้นไป เพื่อสู้กับ “ส.ว. 250 คน” จึงจะตั้งรัฐบาลได้ และหยุดเผด็จการสืบทอดอำนาจ
คนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และต้องการหยุดเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก็จะเทคะแนนไปที่พรรคเพื่อไทย ให้ชนะแบบแลนด์สไลด์ โดยมองว่า ถ้าเทให้พรรคก้าวไกล ก็ไม่สามารถชนะแบบแลนด์สไลด์ได้
ดังนั้น คนที่จะเลือก “ก้าวไกล” ก็เหลือแต่ “แฟนพันธุ์แท้” เท่านั้น ซึ่งถ้าแก้แลนด์สไลด์ไม่ได้ ก็คงทำได้แค่รอความเมตตาจากพรรคเพื่อไทย ดึงไปร่วมรัฐบาลเท่านั้น อย่างที่ “ปิยบุตร” วิเคราะห์เอาไว้นั่นเอง