xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ขยับสองขั้ว ล็อกพรรคร่วมต้านโทนี่ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เมืองไทย 360 องศา

เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการเมือง “แบบสองขั้ว” แม้ว่าจะเป็นความตั้งใจ หรือว่าสถานการณ์พาไปก็ตาม แม้ว่าหลายคนพยายาม “สลายขั้ว” จะด้วยจุดประสงค์ส่วนตัว เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตัวเอง รวมไปถึงการ “ล้างไพ่” ใหม่ก็ตาม แต่ทุกแนวทางล้วนหวังผลทางการเมืองทั้งสิ้น

ก่อนหน้านี้ ในช่วงราวสองเดือนก่อน หลายพรรคพยายาม “สลายขั้ว” ผลิตวาทกรรม “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” พร้อมกับแบะท่าร่วมมือกันได้ทุกพรรค อาจจะมีบ้างที่ขยักเอาไว้บ้าง เช่น ประกาศไม่ร่วมกับพรรคนั้นพรรคนี้ แต่นั่นเป็นแค่ระดับพรรคขนาดกลางๆ ยังไม่เห็นแนวโน้มที่จะสามารถเป็นแกนตั้งรัฐบาลได้

ที่ต้องจับตาก็คือ พรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย ที่เคยประกาศโดดเดี่ยว “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมทั้งโหมโรงเรื่องชนะการเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” เริ่มต้นที่ต้องชนะให้ได้ ส.ส.เกินกว่า 251 ที่นั่ง แต่หลังจากนั้น อาจเป็นเพราะเห็นว่าเริ่มเป็นไปไม่ได้ในเรื่องดังกล่าว ทางหนึ่งอาจเป็นเพราะ “กระแส” ไม่ปังอย่างคาด ด้วยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน เพราะถึงแม้จะได้ ส.ส.เกินจำนวนที่ว่านั้น ก็เชื่อว่า ยังไม่ไม่อาจรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลได้ เพราะยังมี ส.ว.เป็นก้างขวางคอชิ้นโต

จนกระทั่งไม่กี่วันมานี้ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร เพิ่งออกมาเรียกร้องให้เลือก “แบบยุทธศาสตร์” นั่นคือ ให้เทเสียงให้พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว เพื่อให้ได้เสียงเกิน 374 เสียง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โดยไม่ต้องง้อ ส.ว. แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ ที่ไม่พูดให้หมด ก็คือ เจตนา “แบ่งขั้ว” ให้เหลือ “สองฝ่าย” ซึ่งฝ่ายแรกก็คือ พรรคเพื่อไทย หรือฝ่าย “เอาทักษิณ” ส่วนอีกฝ่ายก็คือ “ไม่เอาทักษิณ” ซึ่งอาจ “เอาประยุทธ์” ก็ได้

ความหมายของ นายทักษิณ ชินวัตร ในคราวนั้น มันก็เหมือนกับการสร้างกระแส “เอาตัวรอด” เพราะสร้างหลักประกันให้พรรคเพื่อไทยชนะให้ขาดเพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งด้วยลักษณะการเมือง “สองขั้ว” ดังกล่าว มันกลับส่งผลในทางบวกกับ “บางคน” โดยเฉพาะกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกครั้ง หลังจากเคยเกิดกระแสมาแล้ว เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 และล่าสุด เขาก็ได้ “ขยับรับลูก” ทันที เริ่มจาก นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการด้านยุทธศาสตร์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ระบุว่า ในที่สุดแล้วการเมืองจะแบ่งเป็น “สองขั้ว”

นายธนกร กล่าวว่า วันนี้การเมืองเลือกข้างชัดเจน สุดท้ายจะมีแค่ฝั่งนายกฯ กับอีกฝั่งเท่านั้น เชื่อว่า พรรค รทสช.ด้วยตัวนายกฯ นโยบายพรรคว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จะทำให้ได้ ส.ส.จำนวนมาก เมื่อถามย้ำว่า การเสนอนายกฯ ควรมี ส.ส.มากที่สุดในฝั่งตัวเอง หรือมากที่สุดในการเลือกตั้ง นายธนกร กล่าวว่า เรายังพูดตรงนี้ไม่ได้ ต้องดูตัวเลขหลังการเลือกตั้ง แต่เชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันทำงานกันมานาน ไม่มีความขัดแย้ง นายกฯ ให้เกียรติหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลตลอด พูดจากันได้ หลังการเลือกตั้งเชื่อว่าพรรครทสช.เราพูดจากันได้มากกว่าพรรคอื่น

เมื่อถามว่า จะมีเสียงมากเสียงน้อยไม่เกี่ยว แต่อยู่ที่ใครรวมเสียงได้มากกว่าใช่หรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า ตนตอบแทนหัวหน้าพรรคต่างๆ ไม่ได้ ต้องดูสถานการณ์ตอนนั้น แต่เชื่อว่า ประชาชนเห็นสิ่งที่นายกฯทำงาน และจะให้โอกาสทำงานในตำแหน่งนายกฯอีกครั้ง

เมื่อถามว่า หลังการเลือกตั้งเป็นไปได้หรือไม่ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะทิ้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปจับมือกับฝ่ายค้านปัจจุบัน นายธนกร กล่าวว่า ตนไม่ก้าวล่วง แต่ขอยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองท่าน ความเป็นพี่เป็นน้องที่คบกันมา 40-50 ปี ตนรู้จัก พล.อ.ประวิตร มา 2-3 ปี ยังเคารพรักท่านขนาดนี้ นับประสาอะไรกับคนที่อยู่กันมา 40-50 ปี มั่นใจไม่มีการทิ้งกันอยู่แล้ว

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ได้คุยกันตลอดเวลา วันนี้ก็คุยกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว ก็ยังรักเคารพเหมือนเดิมนั่นแหละ วันนี้ใครจะพูดอะไรก็พูดกันไป ใครจะเขียนก็เขียนไปเถอะ จะกี่ร้อยก็ว่าไปเถอะ

ผู้สื่อข่าวถามว่า พูดได้หรือไม่ว่าหลังการเลือกตั้ง ถ้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะมีพรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เอาไว้รอให้เลือกตั้งแล้วก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากัน เขาไม่พูดกันตอนนี้หรอก เขาพูดกันตอนเลือกตั้งเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ ตนยังไม่พูดอะไรทั้งนั้นแหละ เรื่องส่วนพรรคก็ส่วนพรรค อยู่ที่การเลือกตั้งได้มากน้อยก็ว่ามา แต่การร่วมรัฐบาลเป็นการคุยที่หลังอยู่แล้ว ครั้งที่ผ่านมาตนก็อยู่ในกระบวนการนี้อยู่แล้ว พูดที่หลังหมดไม่ได้มาพูดกันก่อน

เมื่อถามว่า ได้ถามหรือไม่กรณีที่มีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะไปจับมือกับพรรคเพื่อไทย (พท.) หลังจัดตั้งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้ถามอะไรหรอก เป็นสิทธิของท่าน แต่ท่านก็บอกว่าไม่ได้พูดไม่ได้ไปจับมือกับใคร ท่านพูดอย่างนั้นกับตน ท่านก็บอกว่าไม่ได้ไปสัญญาอะไรกับใครไว้ทั้งสิ้น เมื่อถามว่า ตกลงนายกฯ จะลง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ตอบ ยังไม่ตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น

คำพูดและท่าทีดังกล่าวของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้เห็นภาพของ “การเมืองสองขั้ว” ได้ชัดเจนขึ้น และในความเป็นจริงก็เป็นไปได้สูงมาก ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พรรคเพื่อไทยล้มเหลวในเรื่องแลนด์สไลด์ เพราะตราบใดที่ผลการเลือกตั้งออกมาในแบบที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ คือ เพื่อไทยชนะมี ส.ส.มากที่สุด แต่ไม่อาจตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ มันก็ทำให้ “ขั้วฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล” ที่ยังจับมือกันหลวมๆ มีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาอีก โดยจะมีลักษณะแบบ “ยืดหยุ่น” นั่นคือ พรรคไหนได้เสียงมากกว่าก็เป็น “แกน” ไป แต่อาจมีข้อยกเว้นสำหรับบางพรรคที่ต้องนับ ส.ว.เข้ามาด้วย

เมื่อรูปการณ์เป็นแบบนี้ โดยเฉพาะการเมืองแบบ “สองขั้ว” และต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่พรรคเพื่อไทย ล้มเหลวจากแลนด์สไลด์ ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น แม้ว่าจะได้จำนวน ส.ส.มากที่สุดก็ตาม แต่นั่นเท่ากับเปิดทางให้ขั้วพรรคร่วมรัฐบาลเดิม มีโอกาสมากกว่า แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องแข่งขันกันเองในเรื่องจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรค และแม้ว่ากระแสที่บีบมาแบบนี้มันก็ทำให้ “บิ๊กตู่” มีโอกาสไม่น้อยที่จะกลับมา แต่คำถามก็คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้ ส.ส.กี่ที่นั่งนั่นแหละ !!



กำลังโหลดความคิดเห็น