เมืองไทย 360 องศา
หากใครที่เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยบริหารจัดการแบบ “เถ้าแก่” หรือแบบระบบบริษัท ก็ต้องรับรู้ว่าพรรคนี้ย่อมต้องมีผู้สั่งการ หรือผู้มีอิทธิพลสูงสุดเป็นผู้ชี้นำในทุกเรื่องสำคัญ และแน่นอนว่า สังคมก็เคยชินกับบทบาทของ นายทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงคนในครอบครัวนี้กันอยู่แล้ว
เหมือนกับเวลานี้ที่มีการผลักดัน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก กระโดดข้ามมามีบทบาทภายในพรรค เริ่มจากการเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคด้านนวัตกรรมและการมีส่วนร่วม จากนั้นก็เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และคาดว่า ต้องเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคอย่างแน่นอน ซึ่งลักษณะการเติบโตก้าวกระโดดแบบนี้ หากไม่ใช่ลักษณะองค์กรแบบ “ลูกเถ้าแก่” ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ขณะเดียวกัน หากมีความพยายามอธิบายถึงลักษณะองคาพยพภายในระบบการจัดการแบบดังกล่าว นอกจากเถ้าแก่ที่มีอำนาจสั่งการสูงสุดแล้ว ในเรื่องตัวบุคคลก็ย่อมต้องมีมาตามเส้นสาย ที่อาจมีทั้งมาจาก เมียเถ้าแก่ น้องเถ้าแก่ ปนเปเข้ามาด้วย แต่ถึงอย่างไรคนที่ชี้ขาดสูงสุดขึ้นอยู่เถ้าแก่เท่านั้น
อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคเพื่อไทย แน่นอนว่า ย่อมไม่ใช่บริษัท แต่หลายคนมองระบบการบริหาร การมีบทบาทของบุคคลภายในพรรคนี้ด้วยความน่าสงสัย รวมไปถึงสงสัยกับบทบาทของหัวหน้าพรรคนี้ คือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ว่าแท้จริงแล้วเขามีอำนาจ และบทบาทในลักษณะหัวหน้าพรรคที่แท้จริงแค่ไหน ซึ่งเชื่อว่าสังคมภายนอกก็รับรู้กันอยู่แล้ว
แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาภายในพรรคเพื่อไทยก็มีการเคลื่อนไหวที่น่าจับตาขึ้นมาอีก นั่นคือ การเข้ามาของ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หรือหัวหน้าทีมที่ปรึกษา “อุ๊งอิ๊ง” นั่นเอง และยังได้รับแต่งตั้งเป็นทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย โดยตำแหน่งหลัง ก็อยู่ในสังกัดของ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ที่รับหน้าที่เป็นประธาน
หากพิจารณาจากบทบาทและหน้าที่ดังกล่าวของ นายเศรษฐา ทวีสิน ถือว่า “ธรรมดา” มาก ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย เมื่อเทียบกับการรับรู้ในบางกระแส ที่ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย นอกเหนือจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่เมื่อเห็นบทบาทหน้าที่ล่าสุดแล้วอาจจะต้อง “คิดใหม่” เพราะดูแล้วน่าจะยังห่างไกลจากความคาดหมายที่ว่านั้นมากนัก เพราะลักษณะที่เห็นน่าจะมาแบบ “เสริมทีม” ให้แน่นขึ้นมากกว่า เป็น “ตัวหลัก” เหมือนกับที่ “อุ๊งอิ๊ง” กำลังแสดงอยู่ในเวลานี้ และกำลังเดินสายขึ้นเวทีปราศรัยไปทั่วประเทศ เพียงแต่ว่าอาจมีข้อจำกัดในเรื่องการ “ตั้งท้อง” ที่เวลานี้ถือว่าท้องแก่ใกล้คลอดเข้าไปทุกทีแล้ว
ขณะเดียวกัน หากย้อนกลับไปพิจารณาจากคำพูดและท่าทีของ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ประกาศอย่างชัดเจนว่า เขาหวังเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเท่านั้น เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจ ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนตำแหน่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งรองนายกฯ หรือรัฐมนตรีก็จะไม่ขอรับ
โดยเขากล่าวถึงกรณีที่ให้สัมภาษณ์ โดยระบุว่า จะรับตำแหน่งนายกฯเท่านั้น และจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง หากไม่ได้เป็นนายกฯว่า มันไม่ใช่ความต้องการ วันนี้ตนเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งขั้นตอนจากนี้ต้องมีการได้รับเลือกเป็นแคนดิเดตนายกฯ และเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยส่งแคนดิเดตครบ 3 รายชื่อ ซึ่งคณะกรรมการบริหารพรรคจะต้องเลือกว่าใครจะได้รับความไว้วางใจตรงนี้
เมื่อถามย้ำว่า ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งนายกฯ ก็ไม่เอา ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ก็คือไม่เอา แต่ก็อาจจะไปให้คำแนะนำอยู่ข้างหลัง หรือยังเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอยู่ต่อก็ได้ ผมก็ยังเป็นสมาชิกเพื่อไทยอยู่ ทำงานให้คำแนะนำด้านเศรษฐกิจ โดยไม่มีตำแหน่งก็ได้ ตรงนี้ก็สามารถทำได้”
เมื่อถามอีกว่า การที่สื่อสารออกไปตีความว่าเราต้องเป็นนายกฯ เท่านั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง เราก็สามารถทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้เหมือนกัน ถ้าเกิดมีตำแหน่ง ถ้าต้องขับเคลื่อนอะไรจริงๆ แล้ว ตำแหน่งนายกฯ เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจ ก็สามารถทำได้จริง
ถามอีกว่า ถ้าไม่ได้ตำแหน่งนายกฯ แสดงว่าตำแหน่งอื่นๆ อย่าง รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ก็ไม่เอาใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ไม่เอาครับ”
เมื่อถามย้ำว่า ต้องเป็นตำแหน่งนายกฯเท่านั้น ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก็ได้ เป็นที่ปรึกษาที่ไม่ต้องมีตำแหน่งทางการกับใครในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเราก็ยังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่ ก็ยังสามารถทำได้
เมื่อถามว่า เท่ากับว่าตำแหน่งนายกฯ จะมีอำนาจ ทำทุกอย่างได้ง่ายขึ้นใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า มันต้องมีภาคส่วนที่เข้ามาตรวจกัน มีระบบรัฐสภา และมีอะไรหลายๆ อย่าง ตนไม่ได้อยากจะเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องของการเบ็ดเสร็จในเรื่องของอำนาจ มันไม่ใช่
ถามว่า จะเป็นการกดดันพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่าจะต้องเลือกนายเศรษฐา เป็นนายกฯเท่านั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มี เรารู้จักกันมานาน เรารู้ตัวตนของตัวเองมานาน เรื่องของการกดดันหรือ เรื่องของการอ้อมค้อมไม่มีแน่นอน ไม่ใช่เป็นนิสัยของตนเองอยู่แล้ว ซึ่งผู้ใหญ่ในพรรคก็รู้ดีว่า ตนเองเป็นคนอย่างไร ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีแน่นอน
ถามอีกว่า การดีลเข้ามาในพรรคเพื่อไทย เป็นการดีลในตำแหน่งเดียวนายกฯ ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ได้ดีลแบบนั้น แต่ดีลเข้ามาอย่างเดียวคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ชวนเข้ามาทำงาน ชวนเข้ามาช่วยให้คำปรึกษา ซึ่งตนก็น้อมรับด้วยความเต็มใจ และรู้สึกเป็นเกียรติ
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวถึง นายเศรษฐา ในกรณีเดียวกันนี้ว่า “ส่วนตัวอิ๊ง อิ๊ง ว่าเหมาะสมแน่นอน เพราะท่านเป็นคนเก่ง มีความสามารถ และอิ๊งคิดว่าจากการที่ท่านบริหารธุรกิจประสบความสำเร็จมาก ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำได้ ส่วนการจะประกาศชื่ออย่างเป็นทางการ ก็ต้องรอกรรมการบริหารพรรค”
เมื่อพิจารณาทั้งจากความต้องการของทั้งคู่แล้ว นั่นคือ ทั้ง นายเศรษฐา และ น.ส.แพทองธาร ดูเหมือนว่าไปคนละทาง สรุปแบบให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ นายเศรษฐา มีเป้าหมายคือหวังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ตำแหน่งอื่นไม่รับ ขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” กลับมองว่าต้องการให้มาเป็นแค่ที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น มันจึงเหมือนกับมองกันคนละมุม คนละเป้าหมาย
อย่างไรก็ดี สำหรับ นายเศรษฐา ทวีสิน นาทีนี้หากมองว่า “เล่นใหญ่” เกินตัวก็อาจจะใช่ เพราะสำหรับพรรคเพื่อไทย หากมองว่า เป็นพรรคของ “เถ้าแก่” ก็ต้องสงวนไว้สำหรับ “ลูกหลานเถ้าแก่” เท่านั้น หรือคนที่เห็นชอบแล้วเท่านั้น หรืออย่างน้อย ก็ต้องมีผลในทางการเมือง ซึ่งหากมองกันตามความเป็นจริง นายเศรษฐา นาทีนี้ถือว่ายังห่างไกล และท่าทีและบทบาทที่เขาได้รับตอนนี้มันก็พอเห็นแววแล้วว่า ยังฝ่าไปยาก !!